วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

‘ลูกชุบ’ ไม่ธรรมดา เล็กๆ แต่ทำเงินก้อนโต



“ลูกชุบ” ขนมไทยชนิดนี้ไม่เพียงเป็นที่ชื่นชอบของคนไทย คนรุ่นใหม่ ๆ ยุคนี้ยังเริ่มเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามน่ารัก อาศัยฝีมือในการประดิดประดอย สีสันที่สดใส และรสชาติที่อร่อยถูกปากคนทั่วไป ทั้ง ๆ ที่เป็นขนมที่ทำจากถั่วเขียวกวนธรรมดา ก็สามารถสร้างเงินและสร้างรายได้อย่างน่าทึ่ง

วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูล “ลูกชุบ” มาบอกกล่าวกัน...

อ.สุปราณี ประเสริฐภักดี อายุ 70 ปี เจ้าของร้าน “บ้านลูกชุบ” เล่าถึงที่มาของอาชีพการทำลูกชุบขายว่า เริ่มทำลูกชุบตอนอายุ 40 ปี ยึดอาชีพนี้มาแล้วกว่า 30 ปี เนื่องจากสามีรับราชการ ต้องย้ายตามสามีไปในหลายจังหวัด มีเวลาว่างก็อยากจะเรียนทำขนมเพิ่มเติม โดยเฉพาะลูกชุบ ขนมที่สนใจและอยากจะทำเป็นมานานแล้ว

“ที่ สนใจลูกชุบเป็นพิเศษก็เพราะเกิดฝังใจ เคยเห็นลูกชุบที่เขาเอามาส่งตามห้าง คิดว่าเป็นขนมที่สวยงามและน่ารักมาก พอซื้อมาทานมันไม่อร่อย รู้สึกผิดหวัง เลยตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสได้ทำก็จะทำให้ทั้งสวยทั้งอร่อย ตอนอยู่ต่างจังหวัดก็มีหน่วยศึกษาเคลื่อนที่และชมรมสตรีมาสอนทำอาหาร ก็สนใจและมีโอกาสเรียนทำอาหารคาวหวานหลายชนิด และได้เรียนทำลูกชุบสมใจ พอรู้วิธีการทำแล้วก็ยังไม่ถูกใจอีก ก็ปรับปรุงพัฒนาจนได้สูตรของตัวเอง”

แรก ๆ ก็ทำแจกในหมู่แม่บ้านข้าราชการ พอทุกคนบอกว่าอร่อยแล้ว ถ้าเอ่ยถึง “ลูกชุบพาณิชย์” ต้องรู้กันว่าเป็นของ อ.สุปราณี เพราะตอนนั้นบ้านพักอยู่หลังสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุดรธานี

พอมาอยู่กรุงเทพฯ ก็ยกกิจการให้ลูกสาว เปลี่ยนชื่อเป็น “ลูกชุบแซดเอ็น (ZN)” ลูกก็ไปหาตลาดจนได้ มีออร์เดอร์จากเอสแอนด์พีและโรงแรมอีกหลายแห่งทุกเดือน ซึ่งบางเดือนก็มักจะได้รับออร์เดอร์ไปออกงานต่างประเทศ ก็ทำส่งอยู่หลายปี จนปัจจุบันจะไม่มีวางขายตามท้องตลาดทั่วไป แต่จะทำและขายตามออร์เดอร์ที่สั่งเข้ามา

อ.สุปราณียังบอกอีกว่า บ้านลูกชุบเน้นการปั้นด้วยมือ เพราะจะมีความอ่อนช้อยมากกว่าการใช้แม่พิมพ์ และจะปั้นตามจินตนาการของตัวเอง ตอนที่เรียนเขาก็จะสอนให้ปั้นแต่ลูกชมพู่อย่างเดียว ก็มานึกดูว่าอยากจะปั้นอะไร จนได้มาเป็นรูปผลไม้รวม เช่น มะยม แตงโม มะม่วง ชมพู่ ส้ม เชอรี่ มังคุด ฯลฯ

“และ จะเพิ่มเติมรูปแบบต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับเทศกาล เช่น ปีนี้เป็นปีหมู ก็ได้เพิ่มลูกหมูขึ้นมา ใกล้วันวาเลนไทน์ก็จะเพิ่มรูปหัวใจ และถ้าช่วงตรุษจีนก็จะปั้นเป็นซิ่วท้อ ซึ่งได้รับความนิยมมาก”

>> การทำ
วัตถุ ดิบ-ส่วนผสมตามสูตรก็มี ถั่วเขียวเลาะเปลือก 1/2 กก. ต่อหัวกะทิ 2 ถ้วยตวง และน้ำตาลทราย 1/2 กก. ส่วนวัสดุที่ใช้ก็ได้แก่... กระทะทองเหลือง, ไม้พาย, เตาแก๊ส, ตะเกียบ, ไม้จิ้มฟัน, สีผสมอาหาร, จานสี, น้ำสะอาด, พู่กัน, อ่างน้ำ, กะละมัง, เครื่องบดไฟฟ้า หรือครก, ลังถึง, ผ้าขาวบาง

>> ขั้นตอนการทำ “ลูกชุบ”
เริ่ม จากเลือกถั่วเมล็ดเสีย กรวด หิน ออกให้หมด ล้างน้ำ 1 ครั้ง แล้วแช่ทิ้งไว้ 3-4 ชั่วโมง ล้างอีกครั้ง แล้วนำไปนึ่งให้สุก บดหรือโขลกให้ละเอียด แล้วจึงนำถั่วที่บดแล้วใส่ลงไปในกระทะทองเหลือง

นำน้ำตาลทรายและกะทิมาต้มด้วยไฟอ่อนให้ส่วนผสมละลายเข้ากันดี ต้องคนตลอดเวลาไม่ให้กะทิเป็นลูก

นำ ถั่วบดยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง ค่อย ๆ ทยอยใส่น้ำกะทิลงกวนทีละน้อยจนหมด การกวนให้กวนไปในทางเดียวกัน เพื่อให้ถั่วเหนียว กวนถั่วไปเรื่อย ๆ จนถั่วกวนเริ่มแห้ง ควรหรี่ไฟให้อ่อนลง เมื่อแห้งจนจับเป็นก้อน และล่อนจากกระทะสักครู่ใหญ่ ๆ จึงยกลงจากเตา พักไว้ให้คลายร้อน นวดจนเนียน

“หากชอบกลิ่นควันเทียน ก็ให้นำถั่วกวนที่ได้ไปอบควันเทียนไว้สัก 3-5 ชั่วโมง”

เสร็จแล้วนำมาปั้นเป็นรูปผัก ผลไม้ หรือสัตว์ ตามชอบได้เลย

>> การปั้น
แบ่ง ถั่วตามขนาดที่จะปั้น ระหว่างที่ปั้นควรคลุมถั่วด้วยผ้าขาวบางชุบน้ำบิดหมาด ๆ เพื่อกันไม่ให้ถั่วแห้ง ปั้นเสร็จก็เสียบกับไม้จิ้มฟันปลายแหลม ระบายสีให้ใกล้เคียงกับของจริง

“การลงสีอย่าพยายามลงสีฉูดฉาด ให้ลงสีอ่อน ๆ เลียนแบบธรรมชาติ”

ระบายสีเสร็จก็เสียบไว้กับโฟม ทิ้งให้สีแห้ง จากนั้นก็นำไปชุบ “น้ำวุ้น”

>> วิธีทำ “น้ำวุ้น”
ใช้ วุ้นผง 5 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 5 ถ้วยตวง น้ำตาลนิดหน่อยเพื่อความวาว นำส่วนผสมใส่หม้อคนให้เข้ากัน แล้วยกขึ้นตั้งไฟกลาง ๆ หมั่นคนจนวุ้นใสเหนียว ยกลงทิ้งไว้สักครู่จะมีฟองสีขาวลอยขึ้น ให้ช้อนฟองทิ้ง

นำถั่วที่ปั้นและระบายสีแล้วชุบกับส่วนผสมวุ้น 1 ครั้ง ปักบนโฟมให้แห้ง แล้วจึงชุบครั้งที่ 2 และ 3 ทิ้งไว้ให้แห้ง เมื่อวุ้นแข็งตัวดีแล้วจึงถอดออกจากไม้จิ้ม ใช้กรรไกรตัดส่วนที่ไม่ต้องการทิ้ง ตกแต่งด้วยใบแก้วให้สวยงาม

>> การขาย
ทาง บ้านลูกชุบจะคิดราคาเป็นชุด ๆ ซึ่งแต่ละชุดจะแตกต่างกันไปตามปริมาณและบรรจุภัณฑ์ มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นตะกร้าหวาย ถาดเงิน ถาดทอง ถาดหวาย กล่องพลาสติก เข่งไม้ไผ่ ถาดประดิษฐ์ใบตอง ฯลฯ โดยจะมีราคาตั้งแต่ 60-3,000 บาท แล้วแต่ว่าลูกค้าต้องการแบบไหน ขนาดเท่าไหร่

ใคร สนใจอยากจะสั่งซื้อหรือลองชิม “ลูกชุบ” ของ อ.สุปราณี ร้านบ้านลูกชุบ ติดต่อไปได้ที่ เลขที่ 33 ซอย 50 ถนนจรัญสนิทวงศ์ กรุงเทพฯ 10700 โทร. 0-2424-8606

“ลูกชุบ” ลูกเล็ก ๆ ก็ทำเงินก้อนโตได้

ป้ายกำกับ: , , ,

‘หัวใจประดิษฐ์’ กระดาษสาเก่า ‘เป็นเงิน’



เรื่อง ของงานฝีมืองานประดิษฐ์หากรู้จักมองตลาด รู้จักจับกระแส สร้างสรรค์ให้เข้ากับเทศกาล ก็สามารถขายได้สม่ำเสมอทั้งปี และจะดียิ่งขึ้นหากพัฒนาสินค้าให้หลากหลายมากขึ้น โดยไม่ยึดติดอยู่กับรูปแบบเก่าๆ

อย่างเช่นงาน “หัวใจประดิษฐ์” ที่ผลิตจากวัตถุดิบกระดาษสา รายนี้...

พรรณี ตรีชัย ประธานกลุ่มทำการ์ดอวยพรกระดาษสา เริ่มจับ “งานกระดาษสา” มานาน 7-8 ปีแล้ว โดยเริ่มจากการทำการ์ดอวยพรก่อน จากนั้นจึงแตกชนิดสินค้าเพิ่มขึ้น จนปัจจุบันมีตั้งแต่การ์ดอวยพร วัสดุสำหรับตกแต่งงานฝีมือ พวงมาลัยจากกระดาษสา จนถึง “หัวใจ” ทรงทึบและโปร่งที่ประดิษฐ์ขึ้นจากกระดาษสา ซึ่งจากประสบการณ์เกี่ยวกับงานด้านกระดาษสาที่มีมายาวนาน ทำให้รู้ว่า “การเลือกใช้กระดาษเก่าใช้แล้ว หรือกระดาษรีไซเคิล มีข้อดีมากกว่าการเลือกใช้กระดาษใหม่” เนื่องจากกระดาษเก่ามีโซดาไฟไม่มาก ทำให้สีติดดีและสวยคงทนกว่ากระดาษใหม่ ที่สำคัญช่วยลดมลพิษและประหยัดต้นทุนลงได้มาก

สำหรับงานที่ทำอยู่เธอ บอกว่า เริ่มจากการทำ “หัวใจประดิษฐ์” ในกระถาง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า ต่อมาเริ่มมีลูกค้าเรียกร้องมากขึ้นว่าต้องการหัวใจขนาดใหญ่ขึ้น และต้องการหัวใจดวงเดี่ยว ๆ เพื่อนำไปใช้เป็นของชำร่วยในงานแต่งงาน หรือประดับตกแต่งในงาน จึงทำให้มีสินค้าเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชนิด

ตลาด สินค้านั้นนอกจากในประเทศแล้ว ผลงานหัวใจประดิษฐ์ยังส่งออกได้อีกด้วย อาทิ ประเทศอิตาลี ยูเครน และฮ่องกง และบางทีลูกค้าก็ต้องการให้ทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อใช้ในโอกาสพิเศษ โดยมีตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงผู้ใหญ่

“ตอนนี้ลูกค้าต้องการมาก ยิ่งในช่วงเทศกาลเว็ดดิ้งหรือช่วงวัน วาเลนไทน์ สินค้าจะยิ่งขายดี”

กับเงินทุนที่ใช้ในการประกอบอาชีพนี้ หากทำเต็มรูปแบบจริงจังต้องใช้งบลงทุนเบื้องต้นประมาณ 300,000 บาท โดยจะหนักในเรื่องของอุปกรณ์ “เครื่องกดและแม่พิมพ์กลีบดอกไม้” สำหรับกดกระดาษสาให้เป็นรูปดอกไม้ โดยตกราคาเครื่องละประมาณ 100,000 บาท ขณะที่แม่พิมพ์หรือโมขึ้นลายต้องสั่งทำกับโรงกลึงเหล็ก เฉลี่ยชุดละ 1,000 บาท ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ประมาณ 80% จากราคาขาย แต่เมื่อทำไปนาน ๆ ก็จะอยู่ตัวและสามารถถอนทุนคืนได้ ซึ่งจะทำให้มีกำไรเฉลี่ยที่มากขึ้นในอนาคต

วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้หากไม่นับเครื่องกดและแม่พิมพ์ทำกลีบดอกไม้ก็จะมี

อาทิ กระดาษสา, เกสร ดอกไม้, สีย้อมผ้า, กาวเทส เตอร์ชอย (กาวญี่ปุ่น), โฟม, กรรไกร, คัตเตอร์ และวัสดุตกแต่ง เช่น ริบบิ้น, ฟลอร่าเทป

“การ ลงทุนครั้งแรก หากต้องการผลิตเยอะ ๆ ก็ต้องใช้เครื่องกดพิมพ์ แต่ถ้าแค่ทำเป็นอาชีพเสริมก็อาจจะใช้กรรไกรค่อย ๆ ตัดกระดาษให้เป็นดอกไม้ก็ได้ แต่จะช้ากว่า”

ขั้นตอนการทำ
เริ่มจากนำกระดาษสารีไซเคิลมาเข้าเครื่องกดขึ้นรูปสำหรับทำกลีบดอกไม้ ทำไปเรื่อย ๆ จนได้จำนวนตามต้องการ หรืออาจจะทำเผื่อไว้สำหรับใช้ในอนาคตก็ได้ จากนั้นนำกลีบดอกที่ได้ไปย้อมสีและนำออกไปผึ่งลมให้แห้งสนิท ใช้เวลาประมาณ 2 วัน โดยต้องระวังอย่าให้โดนแดด เนื่องจากจะทำให้สีตก

จากนั้นนำ โฟมมาตัดให้เป็นรูปทรงหัวใจในขนาดที่ต้องการ หรือหากต้องการประหยัดเวลา ก็อาจจะสั่งร้านตัดโฟมให้ตัด ตามแบบและขนาดที่เรากำหนดก็ได้ เมื่อได้โฟมรูปหัวใจแล้วก็มาถึงขั้นตอนการทำดอกไม้ ดอกไม้ส่วนใหญ่ที่นิยมคือ ดอกกุหลาบ เริ่มจากนำเกสรดอกไม้มาเสียบเข้าตรงกลางกลีบดอกอันแรก โดยใช้กาวเทสเตอร์ชอยหรือกาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นกาวใส เวลาทาแล้วจะไม่ค่อยมีรอย เป็นตัวเชื่อมยึด จากนั้นพับกระดาษเข้าไปให้เป็นรูปทรงของดอก ทำแบบนี้ประมาณ 4 ชั้น จากนั้นนำกลีบเลี้ยงมาประกอบด้วยวิธีเดียวกัน

นำดอกที่ได้ทั้งหมด มาทากาวตรงก้าน จากนั้นเสียบลงบนโฟม วิธีการติดดอกไม้กับโฟมจะต้องเริ่มจากด้านบนของหัวใจไล่ไปจนถึงท้ายหัวใจ ขณะเสียบดอกไม้ต้องคอยบีบบริเวณไหล่หัวใจให้เข้ารูปโค้ง เพื่อจัดไหล่ของหัวใจให้เท่ากัน เมื่อเสียบครบหมดทั้งดวงก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

“หัวใจดวงหนึ่งใช้ดอกกุหลาบประมาณ 200-250 ดอก ขึ้นกับขนาดโฟมและดอกที่ใช้ การเสียบดอกไม้ถ้ายังไม่ชำนาญให้ร่างแบบก่อน เพราะก่อนเสียบต้องทากาวที่ก้านดอก ซึ่งพลาดแล้วพลาดเลย”

ราคา ขายหัวใจประดิษฐ์นั้น หากเป็นหัวใจในกระถางอยู่ที่ 55-145 บาท, หัวใจเป็นดวงตกดวงละ 120-250 บาท และพวงมาลัยประดิษฐ์เริ่มต้นที่ 120 บาทขึ้นไป

“เราต้องพัฒนาตลอด เพราะในตลาดจะมีการเลียนแบบ ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาพื้นฐานของสินค้างานฝีมือ ดังนั้นห้ามหยุดนิ่ง ต้องคิดแบบใหม่ ๆ ไว้จะได้ไม่ซ้ำกับใคร อีกทั้งทำให้งานไม่ซ้ำซากจำเจ” เจ้าของงานบอก

สนใจงานผลิตภัณฑ์ “หัวใจประดิษฐ์” หรือต้องการซื้ออุปกรณ์ ติดต่อ พรรณี ตรีชัย กลุ่มทำการ์ดอวยพรกระดาษสา ได้ที่เลขที่ 310 ซอยวงศ์สว่าง 11 เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ โทร. 0-2913-1900-1, 08-1515-1940

ส่วนคนที่สนใจอยากจะลองฝึกทำงานประเภทนี้ก็สามารถสอบถามไปได้เช่นกัน


ศิริโรจน์ ศิริแพทย์-สุพรรษา อยู่จันนา

credit :www.sanook.com

ป้ายกำกับ: , , , ,

วิเคราะห์ช่องทางทำกิน ปี 50 อาชีพใด เด่น - ด้อย


ดร.จักรกรินทร์ ศรีมูล คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ วิเคราะห์แนวโน้มอาชีพในปี 2550
โดยเฉพาะ “เอสเอ็มอี” ว่า... ในปีหน้าพวก “ธุรกิจก่อสร้างไปได้สวย” แต่ต้องขึ้นอยู่กับอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย ปีนี้ตัวเลขจีดีพีเพียง 4.55% ถือว่าน้อย ถ้าปีหน้าขึ้นสัก 6% ก่อสร้างจะไปดี ซึ่งจีดีพีโตเร็ว ธุรกิจก่อสร้างก็จะไปได้เร็ว ทำให้ “ร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างได้รับผลดี” ไปด้วย

“ธุรกิจด้านไอที-คอมพิวเตอร์ยังไปได้...แต่ต้องเร็ว”
เพราะ เป็นธุรกิจที่ต้องปรับตัวเร็ว ต้องเปลี่ยนเร็วมาก บางทีมีซอฟต์แวร์ 2 อาทิตย์ก็ต้องเปลี่ยนมาใหม่ แล้วต้องขายเร็ว มีนวัตกรรมเปลี่ยนรุ่นเรื่อย ๆ ตกรุ่นเร็ว คนก๊อบปี้เร็ว ของออกมาวันสองวันคนก็ก๊อบปี้ออกมาแล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องรีบขายให้เร็ว และต้องเปลี่ยนใหม่ให้เร็ว


“ธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร-ขนม และส่งออก...ก็ยังไปได้ดี”
แต่ขึ้นกับช่องทางการกระจายสินค้าตามจุดใหญ่ ๆ ถ้าจะให้ก้าวไกล ซึ่งสำหรับอาหาร...แม้ว่าเศรษฐกิจจะแย่หรือไม่แย่อย่างไรแต่อาหารก็ยังเป็น เรื่องสำคัญ ธุรกิจร้านอาหารจึงไปได้แน่นอน แต่จะต้องคอยปรับตัวเหมือนกัน เพราะคนไทยเบื่อง่าย อาทิ เปลี่ยนเมนู เปลี่ยนชื่อร้าน ปรับลุคส์ อาจจะดัดแปลงให้ร้านมีบริเวณกว้างขึ้น มีที่จอดรถกว้าง ๆ มีสนามเด็กเล่น ตกแต่งร้านให้ดูทันสมัยมีการใส่ใจลูกค้า ขณะที่ธุรกิจส่งออกนั้นปัญหาอาจจะอยู่ที่ช่องทางการส่งออกบ้าง


“ธุรกิจเกี่ยวกับความรู้ การศึกษา ก็ไปได้ด้วยตัวเอง”
เพราะเศรษฐกิจดีไม่ดีคนก็ต้องเรียนหนังสือ อย่างไรก็ตาม ต่อไปคนไทยจะเหมือนคนต่างประเทศ ถ้ามีเงินก็จะมีเวลาว่างเยอะ ก็คิดที่จะหาเรื่องการออกกำลังกาย โยคะ หาอาหารเสริม วิตามิน เพื่อสุขภาพ ดังนั้น “ธุรกิจด้านสุขภาพจะมีอนาคต”


ขณะที่ “ธุรกิจเกี่ยวกับความงาม-การแสดง ก็ไม่ควรมองข้าม”
อาทิ เครื่องสำอาง ลดน้ำหนัก สปา โรงเรียนสอนการแสดง ซึ่งสำหรับเรื่องความงามนั้นเป็นค่านิยมทั่วโลก อีกอย่างคนเราพอมีเงินมากขึ้นก็อยากสบาย อยากทำอะไรให้ตัวเองดูดี หรือเพื่อความสุนทรีย์ ธุรกิจที่ทำเงินหลังเลิกงาน กิจกรรมต่าง ๆ จึงมีมากขึ้นเรื่อย ๆ


“ธุรกิจผับ-บาร์ก็น่าจะยังไปรอด” เพราะเมืองไทยเป็นเมืองเที่ยวอยู่แล้ว คนไทยเป็นคนเที่ยวเก่ง ธุรกิจนี้จึงไปได้รอด เพียงแต่จะต้องคอยปรับ คอยเปลี่ยน เพื่อให้ไม่ซ้ำซาก


“ปัจจุบัน เอสเอ็มอีไทยไม่ควรคิดเพียงแค่ในบ้านแล้ว เช่น เครื่องถ้วยของอยุธยา ตอนนี้คนที่ทำไม่มีคนสืบทอด เราต้องไปจ้างไปเปิดโรงงานที่ลาว ไปสอนเทคนิคให้เขา แล้วก็มีการส่งออกเป็นของคนไทย ก็เหมือนที่ญี่ปุ่นมาทำโทรทัศน์ที่เมืองไทยส่งออกเป็นโทรทัศน์ญี่ปุ่น ก็เหมือนกัน ต้องคิดออกไปมากยิ่งขึ้น เพราะถ้าเราคิดแค่ตรงนี้เราก็จะอยู่แค่ตรงนี้ แล้วมันก็จะอยู่ไม่รอด เพราะการออกไปข้างนอกมันได้ไอเดียใหม่ ๆ ยิ่งขึ้น ตรงนี้ต้องคิดกว้าง ๆ ต้องหาตลาดต้องหาคู่แข่งให้เป็น” ...ดร.จักรกรินทร์ให้มุมมอง

ก่อนจะ ระบุทิ้งท้ายว่า... “อย่างไรก็ตาม ปีหน้าธุรกิจที่อาจจะเป็นดาวร่วง น่าจะเป็นธุรกิจส่งออกที่จะมีปัญหาเพราะเงินบาทแข็งตัว ธุรกิจที่อิงราคาเป็นหลักจะมีปัญหา เช่น สินค้าพื้นบ้าน หรือโอทอป ที่แบรนด์ยังไม่เกิด เพราะตอนนี้สินค้าจากจีนบุกเข้ามาทำตลาดมาก ๆ”



ผศ.วิทวัส รุ่งเรืองผล ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่า... ปี 2549 ที่กำลังจะผ่านไป ยังไม่เห็นว่ามีธุรกิจใดเป็นดาวเด่น-ธุรกิจใดเป็นดาวร่วงจริง ๆ เลย เพราะทุกอย่างคงอยู่ในสภาพเดิม ๆ กันหมด

แต่ “ธุรกิจที่น่าจะไปได้ดีในปี 2550 คือธุรกิจการค้าวัสดุก่อสร้าง”
เพราะ ช่วงปลายปีนี้เกิดน้ำท่วมมาก ดังนั้น ช่วงปลายปีถึงปีหน้าอาจจะมีการปรับปรุงบ้าน ซ่อมบ้าน สร้างบ้านกันมาก ซึ่งธุรกิจค้าขายอุปกรณ์ก่อสร้าง รวมไปถึง “ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างน่าจะได้รับอานิสงส์” ตรงจุดนี้


“ธุรกิจอาหาร
ถ้าเป็นเอสเอ็มอีที่มีการบริหารจัดการที่ดีอยู่แล้วจะดีต่อเนื่อง” เพราะร้านอาหารจะประสบความสำเร็จได้ขึ้นอยู่กับฝีมือ และกำไรหรือไม่กำไรนั้นขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของเจ้าของร้าน

ธุรกิจ เอสเอ็มอีนั้นจะต้องเข้าง่าย-ออกง่าย และผู้ประกอบการต้องมีความรู้ ความชำนาญ และใจรัก แต่ถ้าทำเพราะตามกระแสอยากมีธุรกิจของตนเองก็คงลำบาก เพราะมีบทเรียนมาให้เห็นมากต่อมากแล้ว


“ธุรกิจขายโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ ยังน่าสนใจอยู่”
เพราะตลาดมาร์จิ้นยังกว้าง และมีเทคโนโลยีใหม่เข้าเรื่อย ๆ และการบริหารจัดการไม่มีอะไรซับซ้อน ดังนั้นก็ยังน่าจะไปได้เรื่อย ๆ แต่คงไม่หวือหวาเหมือนในอดีต


“ส่วนธุรกิจ ที่ดร็อปลงนั้น ก็มีค้าปลาสวยงามที่เคยเฟื่องฟู ธุรกิจค้าปลีกที่แนวโน้มตกลงหมดแล้ว ธุรกิจร้านกาแฟ ร้านเบเกอรี่ ที่เคยเฟื่องฟูตามกระแสตอนนี้เริ่มนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว เพราะเข้าใจว่าโอเวอร์ซัพพลาย (ปริมาณมากกว่าความต้องการ) เช่นเดียวกับธุรกิจสปาที่เคยเฟื่องฟูตามนโยบายของรัฐที่ต้องการโปรโมต ปัจจุบันก็ไม่มีอะไร หรือธุรกิจปั๊มน้ำมันที่เคยรุ่ง ปัจจุบันเมื่อน้ำมันราคาแพง ปั๊มเล็ก ปั๊มน้อย ก็ทยอยปิดตัวลง” ...ผศ.วิทวัสกล่าว


ผศ.ดร.ศุภณัฐ ชูชินปราการ คณบดี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ร่วม วิเคราะห์แนวโน้มอาชีพในปี 2550 แล้วแจกแจงว่า... ปีที่ผ่านมามีปัญหาหลายอย่าง ทั้งในเรื่องการเมือง ภัยพิบัติ น้ำมันแพงส่งผลกระทบให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การลงทุนก็ยังชะลอ คนก็ยังชะลอเรื่องการจับจ่ายใช้สอย เพราะข้าวของขึ้นราคา ดังนั้น กระแสในปีหน้าก็ยังคงเป็นแบบนี้ต่อเนื่องต่อไปเรื่อย ๆ

แต่ “ธุรกิจเอสเอ็มอีที่ดีคือพวกอาหาร ของกินของใช้ที่จำเป็น”
เพราะ คนต้องใช้ในชีวิตประจำวัน หรืออาจจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับแฟรนไชส์อาหาร ซึ่งอาหารของสดน่าจะไปได้ดี และอาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูปก็น่าจะไปได้ดีด้วย เพราะว่ามันก็จำเป็นสำหรับคนยุคนี้


“ธุรกิจพวกไอที คอมพิวเตอร์-โทรศัพท์มือถือพอไปได้”
โดยลูกค้าจะเป็นแค่บางกลุ่ม ถ้ากลุ่มวัยรุ่นอาจจะซื้อ แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วอาจจะคิดก่อน ยังไม่รีบ ยังไม่ต้องเปลี่ยน ใช้ได้ก็ใช้ไปก่อน


“ธุรกิจการศึกษายังคงไปได้ด้วยตัวของมันเอง”
อย่างเช่นโรงเรียนกวดวิชา พ่อแม่ก็ให้ลูกไปเรียน ธุรกิจมันก็ไปได้ด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว


“พวก ของกินของใช้ของที่มันออกในเชิงฟุ่มเฟือย ยอดขายจะลดลง ของที่ค่อนข้างจะรอได้ ไม่ต้องรีบซื้อ ของฟุ่มเฟือย ของที่ไม่จำเป็น อาทิ พวกเครื่องหนัง เครื่องประดับ จะชะลอตัว ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องเน้นเรื่องการควบคุมต้นทุนให้ดี ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นต้องตัด ต้องบริหารงานอย่างมี

ประสิทธิภาพ เน้นผลกำไรระยะยาว ไม่เน้นผลกำไรระยะสั้น ต้องรักษาคุณภาพให้ดี เอสเอ็มอีต้องพยายามศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา โลกเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน ก็ต้องตามให้ทัน แล้วนำมาปรับประยุกต์ใช้กับการบริหารงานของตัวเอง สินค้าบริการของตัวเองต้องตามให้ทัน” ...ผศ.ดร.ศุภณัฐระบุ


ก็ เป็นการ “วิเคราะห์อาชีพเด่น-ด้อย ปี 2550” โดย 3 นักวิชาการผู้ชำนาญการ ซึ่งอาจจะไม่ครบถ้วนทุกอาชีพของคนไทยในยุคปัจจุบัน แต่ก็น่าจะพอเป็นแนวทางให้ลองพินิจพิจารณากันได้บ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งใครอยู่กลุ่มเด่น...ก็ยินดีด้วย ส่วนใครอยู่กลุ่มด้อย...ระวังหน่อยก็ไม่เสียหาย แต่ก็อย่าถึงกับกังวลจนเกินไป

ปีใหม่ 2550 ก็ขอให้ทุกท่าน-ทุกอาชีพประสบความสำเร็จกันทั่วหน้า แม้ อาจจะมีอุปสรรคบ้าง ก็ขอให้สามารถนำพากิจการดำเนินไปได้อย่างราบรื่นในที่สุด !!

credit : www.sanook.com

ป้ายกำกับ: , ,

'ตุ๊กตาผ้า' ขายได้ขายดีทุกเทศกาล



ถ้า พูดถึงของขวัญที่ได้รับความนิยม หนึ่งในของที่คนส่วนใหญ่มักจะซื้อเพื่อเป็นของขวัญมอบให้กับคนที่รักในงาน เทศกาลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ปีใหม่ วาเลนไทน์ รับปริญญา วันเด็ก ฯลฯ ก็จะรวมถึง “ตุ๊กตา” ที่มิใช่แค่ของเล่น เด็กเท่านั้น ซึ่ง “ตุ๊กตาผ้า” ก็เป็นหนึ่งในตุ๊กตายอดฮิต และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอ...

สุชญา สุขหงษ์ ประธานกลุ่มหัตถกรรมผลิตตุ๊กตาบ้านวังน้ำเขียว ต.วังน้ำเขียว อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เป็นผู้ที่ผลิตและจำหน่ายตุ๊กตาทุกชนิด ภายใต้ชื่อ “PLOY TOYS” ซึ่งมีประสบการณ์ในการผลิตตุ๊กตามานานกว่า 10 ปี ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของกลุ่มมีจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ

ก่อน ที่จะมายึดอาชีพทำตุ๊กตานั้น สุชญาเล่าว่า เคยทำงานบริษัทผลิตตุ๊กตาส่งออก อยู่ฝ่ายการตลาด แต่ในช่วงยุคเศรษฐกิจฟองสบู่แตก บริษัทที่ทำอยู่ก็เริ่มให้คนงานออก และตนก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น หลังจากตกงานก็เริ่มหาช่องทางอาชีพทำ และก็ตกลงกับสามีว่าจะมาทำ “ตุ๊กตา” ขาย

“จากที่เคยอยู่ฝ่ายการตลาดของบริษัทเก่า ทำให้เห็นว่ายอดขายตุ๊กตามียอดจำหน่ายที่สูง บวกกับเป็นคนที่ชอบตุ๊กตาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงยิ่งทำให้เป็นเรื่องง่ายในการที่จะตัดสินใจทำตุ๊กตาผ้าขาย”

การ ทำตุ๊กตาอาจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่ไม่มีความรู้ทางด้านนี้ แต่ก็ไม่ยากถ้ามีความพยายาม พอเริ่มที่จะทำจริงจังก็เริ่มศึกษาวิธีการทำด้วยตัวเอง โดยหาซื้อตุ๊กตาผ้ามาแกะแยกชิ้นส่วนออกจนหมดทุกชิ้น เพื่อที่จะนำมาเป็นตัวอย่างในการทำ แรก ๆ ตุ๊กตาที่ทำออกมาจะนำไปขายตามงานวัดและตลาดนัด

ตุ๊กตาที่ผลิตขึ้นก็พอขายได้ แต่ยังไม่ค่อยมีมาตรฐาน อีกทั้งการบริหารจัดการต่าง ๆ ก็ยังไม่ดี สุชญาจึงเข้าไปอบรมในโครงการพัฒนาผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถด้านบริหารจัดการธุรกิจในแต่ละด้าน ให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน

หลัง จากที่ได้เข้าอบรมก็สามารถวางแผนในการจัดการธุรกิจได้ดีขึ้น รู้จักการจัดทำบัญชี ได้เรียนรู้เทคนิคด้านการตลาด เทคนิคการขาย จากนั้นก็เริ่มมาพัฒนากลุ่มผลิตตุ๊กตาให้มีมาตรฐานมากขึ้น จนปัจจุบันผลิตภัณฑ์เริ่มเป็นที่ยอมรับจากลูกค้า ผลิตส่งให้กับบริษัทลิขสิทธิ์ถึง 70% และทางกลุ่มผลิตจำหน่ายเอง 30%

“ธุรกิจ ผลิตตุ๊กตาผ้า สินค้าที่ผลิตออกมาจะต้องเป็นที่ถูกใจลูกค้าจึงจะขายได้ เพราะฉะนั้นรูปแบบของตุ๊กตาจะต้องมีความโดดเด่น ที่สำคัญจะทำให้ธุรกิจไปรอดก็จะต้องเน้นในเรื่องคุณภาพสินค้า ตรงต่อเวลา และความซื่อสัตย์” สุชญากล่าว

ในการผลิต “ตุ๊กตาผ้า” ขาย วัสดุอุปกรณ์ในการทำที่สำคัญ ๆ ก็มีจักรเย็บผ้า, ผ้าสำหรับทำตุ๊กตาโดยเฉพาะ, ใยสำหรับยัดในตัวตุ๊กตา...

แหล่งวัตถุดิบที่เป็นแหล่งใหญ่ที่สามารถไปหาซื้อได้อยู่ที่ย่านบางบอน...

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากออกแบบตุ๊กตา หรือหาต้นแบบตุ๊กตาที่ต้องการจะทำ หลังจากที่ได้แบบที่ต้องการก็ทำแพตเทิร์น ซึ่งตุ๊กตา 1 ตัว อาจมีแพตเทิร์น 25-40 ชิ้น จากนั้นก็นำแพตเทิร์นไปวางทาบบนผ้า วาดตามรอยจากนั้นก็ตัดตามรอยเส้น ซึ่งวิธีนี้เป็น วิธีที่ง่าย แต่งานอาจจะช้าหน่อย

ในส่วนของสุชญาจะใช้วิธีการนำแพตเทิร์นที่ ได้ไปวาดลงบนแผ่นกระเบื้องกันความร้อน จากนั้นก็จะตัดตามแบบ ใช้เส้นลวดกันความร้อนชนิดแบนติดตามขอบกระเบื้องกันความร้อนที่ตัดตาม แพตเทิร์น ล็อกติดเข้าด้วยกันโดยใช้ลวดกันความร้อนเส้นเล็กเป็นตัวรัด เชื่อมต่อสายไฟที่จะต้องไปเสียบเข้ากับหม้อแปลงไฟฟ้าปรับแรงดัน สุดท้ายต่อด้ามจับด้วยไม้ วิธีการใช้ก็แค่เสียบปลั๊กไฟเข้ากับหม้อแปลงปรับแรงดันไฟฟ้า รอให้ลวดเกิดความร้อน จากนั้นก็ทำการปั๊มลงบนผ้า

วิธีนี้เป็นวิธีที่รวดเร็วในการตัดผ้า แต่ก็ต้องใช้ทุนสูงหน่อย โดยหม้อแปลงปรับแรงดันไฟฟ้ามีราคาอยู่ที่ประมาณ 12,000-13,000 บาท...

เมื่อ ได้ชิ้นส่วนตุ๊กตาทุกชิ้นครบ ก็ทำการเย็บแต่ละชิ้นให้เรียบร้อย ขั้นตอนต่อไปก็คือการยัดใย ก่อนยัดใยก็นำชิ้นส่วนที่แยกเย็บมาเย็บประกอบกันให้เรียบร้อย แล้วทำการยัดใย ยัดเสร็จก็ทำการตกแต่งภายนอกให้เรียบร้อย

การยัดใย ใส่ในตัวตุ๊กตานั้นสามารถยัดด้วยมือได้สำหรับผู้ที่ยังไม่มีเงินทุนที่จะ ซื้อเครื่องฉีดใย ส่วนเครื่องฉีดใยนั้นมีราคาอยู่ที่ประมาณ 300,000 บาท ซึ่งคุณภาพตุ๊กตาที่ยัดใยด้วยเครื่องก็จะนิ่งกว่าการใช้มือ

จากนั้นก็ทำการเย็บปิดรูของตัวตุ๊กตาที่เป็นจุดยัดใย ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอน พร้อมจำหน่าย

ตุ๊กตา ของกลุ่มหัตถกรรมผลิตตุ๊กตาบ้านวังน้ำเขียว มีราคาขายตั้งแต่ 30-1,000 บาท โดยมีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 70% ของราคาจำหน่าย ใครสนใจสั่งซื้อก็สามารถติดต่อได้ที่ โทร. 08-1616-5967

จะสั่งไปจำหน่ายต่อเป็นอาชีพ หรือจะลองฝึกฝนทำขายเองก็สุดแท้แต่ !!.

credit www.sanook.com

ป้ายกำกับ: , , , , ,

‘โปสการ์ด’ ไปได้ดีถ้า ‘มีเอกลักษณ์’



ทีม “ช่องทางทำกิน” เคยเสนองานประดิษฐ์เกี่ยวกับโปสการ์ดและบัตรอวยพรที่ระลึกไปหลายครั้ง แต่งานประเภทนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะตัน ด้วยมีการคิดต่อยอดทยอยออกมาอยู่เสมอ เรียกได้ว่าเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ยังน่าสนใจ ทั้งเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริม เพราะตลาดยังเปิดกว้างให้กับคนมีกึ๋น มีไอเดียอยู่เสมอ

อย่าง “การ์ดงานศิลปะอิงประวัติศาสตร์” ที่จะมาดูกันวันนี้...

กรินทร์ กรินทสุทธิ์ เจ้าของผลงาน เล่าว่า ได้รวมกลุ่มกับเพื่อนอีก 2 คนคือ ธงกิจ นานาพูลสิน และ รัมภา สาลิการิน ทำการผลิตโปสการ์ดแนว “ประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทย” โดยได้แรงบันดาลใจมาจากความต้องการที่จะเผยแพร่เรื่องราวทางโบราณคดี ซึ่งเป็นความรู้ที่ตนเองและเพื่อนได้เรียนรู้มาจากมหาวิทยาลัยศิลปากร ให้คนทั่วไปได้เข้าใจมากขึ้น ทำให้มานั่งคิดว่าควรจะสื่อสารออกมาทางด้านใด จนสุดท้ายจึงมาลงเอยที่ “โปสการ์ด” เพราะมีต้นทุนไม่สูงมากนัก และสามารถเข้าถึงคนทั่วไปได้ง่ายที่สุด ปัจจุบันได้เริ่มผลิตและทดลองวางขายตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ได้สักระยะหนึ่งแล้ว โดยใช้ชื่อว่า SIAM_STORY เป็นชื่อสินค้า สำหรับรูปแบบของการ์ดที่ผลิตนั้นมีอยู่ 2 ชนิดคือ 1.การ์ดทำมือ ที่ใช้การผลิตด้วยมือเกือบทุกขั้นตอน กับ 2.การ์ดพิมพ์ ที่ออกแบบและสั่งให้ทางโรงงานพิมพ์ตามแบบที่กำหนด ขณะนี้มีทั้งหมด 8 รูปแบบ อาทิ มัคนารีผล พระวิษณุ ปัญจวัคคีย์ เป็นต้น โดยแทรกตำนานและเรื่องราวความเป็นมาให้ผู้ซื้อการ์ดได้ศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ แบบเข้าใจง่าย“ส่วนใหญ่จะเป็นรูปภาพเกี่ยวกับเทพเจ้าและตำนานความเชื่อตาม แบบพุทธศาสนา โดยมีเรื่องราวประกอบเหมือนกับเป็นการสรุปให้ผู้ซื้อได้อ่านและเข้าใจเรื่อง ราวอย่างง่าย ๆ”

เจ้าของผลงานบอกอีกว่า จากการทดลองขายพบว่าได้รับการตอบรับดีมาก โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างประเทศ และก็มีคนไทยบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ชอบและสนใจทางด้านศิลปะและโบราณคดี

จาก การทดลองวางขาย ถ้าเทียบกับทุนที่ใช้ไป ถือว่าดีมาก เพราะมีคำชมเข้ามาเยอะ โดยตอนนี้ก็มียอดสั่งซื้อมาจากต่างประเทศบ้างแล้ว เนื่องจากเห็นว่าเป็นการ์ดที่แปลกและยังไม่มีใครทำในตลาด

เมื่อถาม ถึงสภาพการแข่งขันในตลาดนั้น เจ้าตัวบอกว่าไม่ค่อยกังวล แม้ตลาดของโปสการ์ดนั้นมีการแข่งขันสูง แต่ก็ยังมีช่องว่างให้ทำได้อีกมาก เนื่องจากถือเป็นตลาดที่แข่งกันที่ไอเดียและเอกลักษณ์เป็นสำคัญ และโดยส่วนตัวแล้วที่ทำการ์ดนี้ขึ้นก็ต้องการที่จะเผยแพร่เกร็ดเล็กน้อย เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทางศิลปะของไทย

แนวคิดการจัดทำการ์ดเชิง ประวัติศาสตร์ศิลปะนั้น กรินทร์บอกว่าสำหรับรูปภาพจะเน้นลักษณะให้ตรงกับต้นฉบับเดิมหรือรูปภาพเดิม มากที่สุด แต่นำมาปรับให้เหมือนเป็นการ์ตูนหรือลวดลายแบบกราฟิกเล็กน้อย ขณะที่ข้อความที่ประกอบอยู่บนโปสการ์ดนั้นจะเน้นที่สรุปความสำคัญของภาพด้วย ภาษาที่กระชับและเข้าใจง่ายที่สุด โดยขณะนี้การ์ดที่ผลิตใช้ภาษาอังกฤษและภาษาไทยประกอบ เพื่อต้องการให้ผู้ซื้อทำความเข้าใจกับภาพได้

ทุนเบื้องต้นนั้นใช้งบประมาณไม่เกิน 500 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าอุปกรณ์จำเป็นในการทำการ์ด อาทิ กรรไกร, คัตเตอร์, กาวลาเท็กซ์, กาวยูฮู และไม้บรรทัด ส่วนทุนวัตถุดิบนั้นอยู่ที่ประมาณ 30% จากราคาขาย

สำหรับวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการทำการ์ดทำมือ อาทิ กระดาษสา, กระดาษลอกลาย, ดินสอสี, กระดาษลูกฟูก, กระดาษเงิน-กระดาษทอง และวัสดุตกแต่งตามต้องการ

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากทำการวาดลายหรือรูปภาพที่ต้องการลงบนกระดาษ หากไม่ชำนาญก็อาจจะใช้กระดาษลอกลายทาบที่ภาพต้นแบบและนำมาวาดลงบนกระดาษ ก่อนจะนำไปถ่ายเอกสารอีกครั้งโดยกระดาษที่ใช้ถ่ายเอกสารสำหรับทำภาพให้เลือก ใช้กระดาษสาชนิดบาง เพราะหากใช้กระดาษสาหนา ๆ กระดาษอาจติดขัดและทำความเสียหายกับเครื่องถ่ายเอกสารได้เมื่อได้ภาพแบบที่ ต้องการแล้ว ให้นำกระดาษสาหนามาตัดให้พอดีกับขนาดโปสการ์ดที่ต้องการ นำภาพที่ถ่ายเอกสารไว้มาตัดให้พอดีและติดทับด้วยกาวเข้าด้วยกัน จากนั้นจึงตกแต่งด้วยวัสดุตกแต่งตามต้องการ

เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ ซึ่งสำหรับราคาขายนั้น การ์ดทำมือราคาขายอยู่ที่แผ่นละ 45 บาท แต่ การ์ดพิมพ์ราคาขายอยู่ที่แผ่นละ 25 บาท โดยหากเป็นการ์ดพิมพ์ก็ขึ้นอยู่กับโรงพิมพ์ที่รับงานว่าสามารถพิมพ์ขั้นต่ำ สุดได้เท่าไหร่ ซึ่งราคาจะถูกหรือแพงขึ้นอยู่กับกระดาษและคุณภาพการพิมพ์เป็นสำคัญ

ใครสนใจการ์ดแนวประวัติศาสตร์ศิลปะที่ว่านี้ ติดต่อได้ที่ โทร.08-9486-7557 กับ 08-1441-5015 หรือทางอีเมลที่ siam_story@yahoo.com

“แม้ ตลาดของโปสการ์ดจะมีการแข่งขันสูง แต่หากใครที่มีไอเดีย มีฝีมือ และช่างคิดสักหน่อย ก็ยังถือว่าตลาดโปสการ์ดนี้ยังไม่ตันแน่นอน” เจ้าของผลงานกล่าว

ใครมีไอเดียสร้างเอกลักษณ์ใหม่ ๆ บางที “โปสการ์ด” อาจจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ได้


ศิริโรจน์ ศิริแพทย์

credit : www.sanook.com

ป้ายกำกับ: , , , ,

คุกกี้แฟนซี เงินดีเทศกาลปีใหม่


งาน ฝีมือบางชนิดสามารถนำมาผนวกใช้ได้หลายด้าน แม้แต่ในเรื่องของอาหารและขนม ที่หากรู้จักที่จะนำฝีมือมาใส่ไอเดีย มาสร้างสรรค์ ก็สามารถที่จะสร้างอาหารการกินรูปแบบเก๋ ๆ สร้างกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

อย่างเช่น “คุกกี้แฟนซี” ของ “สิริพร ศรีเพ็ง” รายนี้...


สิริ พรเล่าว่า ไม่ได้เรียนจบมาทางด้านการทำอาหารหรือเบเกอรี่ ทว่าเรียนจบมาทางด้านนาฏยศิลป์จากคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบงานประดิษฐ์ งานเย็บปักถักร้อย ควบคู่ไปกับการทำขนม จึงพยายามศึกษาและลองหัดทำด้วยตัวเอง จนเริ่มมีความชำนาญ กับ “คุกกี้แฟนซี” นี้ก็ยึดเป็นอาชีพเสริมมาได้ 2 ปีแล้ว โดยยามว่างจากงานประจำที่เกี่ยวกับธุรกิจค้าขายวัสดุก่อสร้างก็จะทำขาย โดยเฉพาะในช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่ โดยจะนำไปฝากขายตามร้านจำหน่ายอุปกรณ์เบเกอรี่และร้านขายของฝาก

ใน ตอนแรกตั้งใจจะทำเป็นแค่ขนมทานเล่นจำพวกแครกเกอร์เท่านั้น แต่ต่อมามีร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่แนะนำว่าจริง ๆ แล้วคุกกี้แฟนซีของเธอสามารถขายในกลุ่ม “วัสดุตกแต่งเบเกอรี่” ได้ด้วย เพราะในช่วงปีใหม่ร้านเบเกอรี่ส่วนใหญ่จะผลิตเค้กจำนวนมาก ทำให้บางครั้งการตกแต่งหน้าเค้กด้วยการวาดหน้าเค้กเพียงอย่างเดียวอาจไม่ทัน -ไม่โดนความต้องการของลูกค้า ก็อาจหันมาใช้คุกกี้แฟนซีเหล่านี้ประดับแทน

เจ้า ของไอเดียบอกว่า นอกจากจะใช้ประดับหน้าเค้กได้แล้ว ร้านไอศกรีม ร้านน้ำแข็งไส ก็นิยมใช้คุกกี้แฟนซีประดับตกแต่งด้วยเช่นกัน “สินค้าก็เลยขายได้ทั้ง 2 กลุ่ม คือ ขนมทานเล่น กับวัสดุตกแต่งเบเกอรี่”

สำหรับ ทุนเบื้องต้นในการทำอาชีพนี้นั้น เธอบอกว่า ใช้เงินลงทุนน้อยมาก หากไม่ต้องลงทุนในเรื่องของอุปกรณ์ชิ้นใหญ่อย่างเตาอบอุตสาหกรรม โดยเงินลงทุนนั้นอยู่ที่ไม่เกิน 1,000 บาท ส่วนทุนวัตถุดิบต่อกำลังการผลิตที่ 300 ชิ้น ใช้เงินทุนในส่วนนี้เพียงแค่ไม่เกิน 200 บาท

ขณะ ที่เรื่องรายได้-การจำหน่ายเธอบอกว่า จากการที่ทำจำหน่ายมาเป็นเวลา 2 ปี เฉพาะในช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่ถือว่ารายได้ค่อนข้างดี ลงทุนค่อนข้างน้อย ใช้เวลา ฝีมือ และไอเดียในการคิดหน้าคุกกี้เป็นหลัก โดยราคาที่จำหน่ายอยู่นั้น ราคาขายปลีก 20 ชิ้น 35 บาท และราคาขายส่งอยู่ที่ 100 ชิ้น 100 บาท

อุปกรณ์ที่ใช้
  • ก็มีเพียงถาดสำหรับตากคุกกี้

  • ชามหรือกะละมังใส่ส่วนผสมหน้าคุกกี้ และที่ตีส่วนผสม


ซึ่งส่วนผสมที่ใช้ในการผลิตครีมสำหรับวาดหน้าคุกกี้ มี

  • ไข่ขาว (ไข่ไก่ขนาด กลาง) 3 ฟอง

  • น้ำตาลไอซิ่ง 500 กรัม

  • มัลติฟลายเออร์หรือศัพท์ที่คนทำเบเกอรี่รู้จักดีในชื่อย่อว่า เอส.พี. ประมาณ 1 ช้อนชา

  • คุ้กกี้

  • สีผสมอาหารชนิดผง


“ส่วน ใหญ่จะเลือกใช้คุกกี้หรือขนมปังกลมชนิดเค็ม เพราะเนื่องจากเนื้อครีมที่ใช้ทำหน้าคุกกี้มีรสหวานอยู่แล้ว หากใช้ขนมปังหรือคุกกี้ที่มีรสหวานจะทำให้คนทานรู้สึกว่าหวานหรือเลี่ยนจน เกินไป จึงใช้คุกกี้ที่มีรสเค็มเป็นตัวตัดความหวานของหน้าคุกกี้”


ขั้นตอนการทำ
  • เริ่มจากนำไข่ไก่ 3 ฟองมาตอกออกและคัดเฉพาะไข่ขาวมาใช้งานเท่านั้น

  • จากนั้นนำน้ำตาลไอซิ่งที่เตรียมไว้ในจำนวน 500 กรัมผสมลงไปในไข่ขาว และใส่มัลติฟลายเออร์ หรือ เอส.พี.ลงไปประมาณ 1 ช้อนชา

  • หยดสีผสมอาหารลงไปในส่วนผสมข้างต้นเพียงเล็กน้อย

  • จาก นั้นใช้ที่ตีส่วนผสมตีหรือคนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อครีมที่ต้องการ หากต้องการสีอื่นก็ให้ทำตามส่วนผสมนี้ เพียงแต่เปลี่ยนสีและกลิ่นที่ใช้ตามต้องการ (สาเหตุที่ใช้สีผสมอาหารชนิดผงนั้น เจ้าของสูตรบอกว่า เพื่อไม่ให้เนื้อครีมมีส่วนผสมที่เป็นน้ำมากเกินไป จนทำให้ความเข้มข้นและความหนืดของเนื้อครีมลดลง)

  • นำเนื้อครีม ที่ได้มาอัดใส่กรวยสำหรับวาดหน้าเค้ก โดยอาจจะใช้ถุงพลาสติกที่ม้วนจนเป็นรูปกรวยแทนการใช้กรวยสำเร็จรูป เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุนในเรื่องวัสดุ

  • เมื่อนำเนื้อครีมใส่กรวยวาดหน้าเค้กแล้ว ก็เริ่มทำการหยอดให้เป็นรูปตามที่จินตนาการลงบนคุกกี้

  • พอ วาดหน้าคุกกี้เสร็จแล้วก็นำไปตากแดดโดยใช้เวลาตากประมาณ 1 วัน หรือหากอบคุกกี้ในเตาอบอุตสาหกรรม ก็ให้ใช้ความร้อนประมาณ 180 องศาฟาเรนไฮต์ โดยใช้เวลาอบประมาณ 10 นาที

  • จากนั้นผึ่งให้เย็นสักครู่ ก่อนจะนำบรรจุถุง



“ส่วน ใหญ่ที่นิยมตอนนี้จะเน้นไปที่ตัวการ์ตูนน่ารักสีสันสดใส ส่วนความละเอียดหรือรูปแบบขึ้นอยู่กับคนทำเป็นสำคัญ เรียกได้ว่าไอเดียไม่มีตัน อยู่ที่ว่าใครจะคิดรูปแบบไหนออกมา ยิ่งใช้หีบห่อบรรจุภัณฑ์สวยงามก็จะยิ่งทำให้สินค้ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีก” ...เจ้าของสูตรคุกกี้แฟนซีกล่าว

ปัจจุบัน สิริพร ศรีเพ็ง ทำ “คุกกี้แฟนซี” อยู่ที่ 45/1 หมู่ 3 อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ใครอยากจะติดต่อก็ โทร.08-7070-0039 ซึ่งเจ้าตัวบอกทิ้งท้ายว่า อาชีพนี้ไม่ยาก ใครสนใจก็ลองฝึกหัดทำตามขั้นตอนที่กล่าวมา...

อาจจะเป็นรายได้หลัก-รายได้เสริมที่ดีในช่วงปีใหม่นี้ !!.

ศิริโรจน์ ศิริแพทย์/จเร รัตนราตรี

credit : www.sanook.com

ป้ายกำกับ: , , ,

‘มันทิพย์-เผือกทิพย์’ อร่อยร้อน ๆ รับลมหนาว

อาหารการกินยอดนิยมบางประเภทจะเปลี่ยนไปตามสภาพอากาศ อย่างเช่นในฤดูร้อนพวกหวานๆ เย็นๆ อย่างไอศกรีม ลอดช่องน้ำกะทิ จะขายดี ฤดูฝนอาหารต้านไข้หวัด เช่น น้ำมะตูมอุ่นๆ หอมหวานชื่นใจ ก็ไปได้สวย และในฤดูหนาวอาหารร้อนๆ ก็จะได้รับความนิยม แต่วันนี้ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลการขายอาหารที่เหมาะทั้งกับช่วงฤดูหนาวนี้ และทุกๆ ฤดู มาบอกกล่าวเล่าสู่กัน...นั่นก็คือ “มันทิพย์-เผือกทิพย์”


นงค์เยา ศิลาทอง หรือ “เจ๊ต้อย” อายุ 48 ปี เจ้าของร้านขาย “มันทิพย์-เผือกทิพย์” และกล้วยย่าง เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนขายกล้วยหักมุก-กล้วยน้ำว้าปิ้ง และกล้วยทับ ที่ท่าน้ำบางกอกน้อย ขายมานานประมาณ 30 ปี โดยสืบทอดมาจากรุ่นคุณแม่ ส่วนมันทิพย์-เผือกทิพย์นั้น ไปซื้อสูตรมาจากเพื่อนซึ่งทำขายอยู่ที่สะพานหัน นำมาดัดแปลงปรับปรุงสูตรใหม่เพื่อให้เป็นสูตรเฉพาะของตัวเอง จากนั้นย้ายมาขายอยู่ที่หน้าร้านขายยาเพชรรัตน์เภสัช ตรงข้ามโรงพยาบาลศิริราช เพราะทำเลแถวนี้ยังไม่มีคนขาย

“ มันทิพย์-เผือกทิพย์ เป็นเจ้าเดียวที่มีน้ำจิ้ม ช่วยเพิ่มรสชาติความหวานมันยิ่งขึ้น จะถูกใจคนที่ชอบทานหวาน น้ำจิ้มจะใช้หัวกะทิล้วนๆ เคี่ยวกับน้ำตาล เสร็จแล้วก็นำมันทิพย์-เผือกทิพย์ทับพอแบนๆ ไปแช่ เพื่อให้น้ำกะทิซึมเข้าเนื้อ ถ้าคนไม่ชอบหวานมากก็ทานแบบกลม ๆ ที่ปิ้งไฟอ่อนๆ หอมเหลือง ของเราจะรสชาติกลมกล่อมไม่เหมือนใคร ทำจากมันสำปะหลังล้วนๆ ไม่ได้ใช้แป้งและมะพร้าวขูดผสมเลย รับรองว่าได้เนื้อมันอร่อย เต็มๆ คำ”

ของทุกอย่างเจ๊ต้อยจะทำสำเร็จ มาจากบ้าน แล้วมาย่างขายที่ร้าน แต่ละวันจะทำมันทิพย์ 20 กก. เผือกทิพย์ 10 กก. ซึ่งในช่วงเทศกาลกินเจจะยิ่งขายดีมากเป็นพิเศษ ต้องทำของเพิ่มอีกเท่าตัว

เจ๊ต้อยบอกว่าจะมีลูกค้าขาประจำ-ขาจรแวะ เวียนมาอุดหนุนตลอด ซึ่งนอกจากเพราะติดใจรสชาติ-คุณภาพแล้ว คนขายก็ใจถึง อย่างมันทิพย์-เผือกทิพย์ขาย 8 ลูก 20 บาท ก็มักจะแถมให้ลูกค้าอีกคนละ 1- 2 ลูก ส่วนกล้วยปิ้งก็จะคัดเอาลูกใหญ่ได้ขนาดมาขาย ทำให้ไม่ฝาด หวาน หอม อร่อย

ทุกวันจะจัดร้าน ขายตั้งแต่ 7 โมงเช้า ขายไปจนถึง 4 โมงเย็น

อุปกรณ์ในการขาย ก็มี... เตาแก๊ส, ลังถึง, กะละมังเคลือบ (ใช้แทนเตาถ่านเวลาปิ้ง), ตะแกรง, มีด, เขียง, ที่คีบ, ถาดสเตนเลส, ถังน้ำ, ถุงมือ, ส้อม, ไม้พาย, ผ้าขาวบาง, ไม้จิ้ม, ไม้ทับ และอุปกรณ์อื่นๆ ที่สามารถหยิบฉวยได้จากในครัว

ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ในการทำขายแต่ละวัน ก็มี...มันสำปะหลังนึ่งสุกบดละเอียด 1 กก., ข้าวโพดต้ม 4-5 ฝัก, น้ำตาลทราย 2 1/2 ขีด (250 กรัม), หัวกะทิ 3 ขีด (300 กรัม ) และเกลือนิดหน่อย



ขั้นตอนการทำ “มันทิพย์”เริ่ม จากนำมันสำปะหลังมาหั่นเป็นท่อนๆ ปอกเปลือกออก ผ่าเอาแกนกลางหรือไส้ออกทิ้งไป เฉาะเป็นชิ้นๆ ขนาดไม่ใหญ่และเล็กจนเกินไป แล้วนำไปล้างน้ำให้สะอาด ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ ใส่น้ำในลังถึงประมาณครึ่งหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ ใช้ความร้อนค่อนข้างสูง เมื่อน้ำเดือดพล่านนำมันสำปะหลังที่เตรียมไว้เรียงใส่ลังถึงชั้นบน ซึ่งรองไว้ด้วยผ้าขาวบาง ปิดฝาให้สนิท แล้วค่อยๆ ลดไฟลงปานกลาง นึ่งนานประมาณ 25-30 นาที จนมันสำปะหลังสุก แล้วจึงเอามาตำในขณะที่ยังร้อนๆ อยู่ โดยใช้ไม้พาย และช้อนส้อมคุ้ยให้ซุย เสร็จแล้วหั่นข้าวโพดต้มใส่ตามลงไปผสมคลุกเคล้ากับมัน ทำการนวดผสมให้เข้ากัน พักไว้

จากนั้นนำหัวกะทิผสมกับน้ำตาลและ เกลือ นำขึ้นตั้งไฟเคี่ยว เสร็จแล้วค่อยๆ เทใส่ในมันนึ่งกับข้าวโพดที่เตรียมเอาไว้ แล้วทำการนวดอีกครั้ง เมื่อนวดเข้ากันดีแล้วตั้งพักไว้ประมาณ 15-20 นาที เพื่อให้ส่วนผสมเข้ากันดี

ขั้นตอนต่อไปคือการนำมาปั้นให้เป็นลูก กลมๆ พอประมาณ กะให้ใหญ่กว่าลูกปิงปองนิดหน่อย เวลาขายก็จะนำไปปิ้งด้วยไฟอ่อนๆ อีกที พอเหลืองหอม เท่านี้ก็พร้อมขายได้เลย

“เคล็ด ลับสำคัญในการทำอยู่ที่มันสำปะหลัง ต้องเลือกหัวใหญ่ๆ เพราะเนื้อจะอร่อยกำลังดี และการนึ่งมันสำปะหลังจะต้องต้มน้ำให้เดือดพล่านเสียก่อนจึงนำขึ้นนึ่ง เพราะมันสำปะหลังถ้านึ่งนานมันจะยิ่งเกาะเหนียว ทำให้ไม่อร่อย” เจ๊ต้อยบอกเคล็ดลับ

และสำหรับ “เผือกทิพย์” การทำก็ใช้หลักการเดียวกันกับมันทิพย์

ใคร สนใจ “มันทิพย์-เผือกทิพย์” สูตรนี้ ร้านของเจ๊ต้อยอยู่ตรงข้ามโรงพยาบาลศิริราช หน้าร้านขายยาเพชรรัตน์เภสัช หาไม่เจอก็โทรฯสอบถามเจ๊ต้อยได้ที่ โทร.08-9457-0207

นี่ก็เป็นอีกช่องทางทำกินหนึ่งที่สามารถทำได้ง่าย ๆ กำไรงาม ต้อนรับฤดูหนาว และทุกฤดู

คู่มือลงทุน...มันทิพย์-เผือกทิพย์
- ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 4,000 บาท
- ทุนวัตถุดิบ ขึ้นอยู่กับปริมาณการทำ
- รายได้ ขาย 8 ลูก 20 บาท
- แรงงาน 1 คน
- ตลาด ย่านชุมชนทั่วไป
- จุดน่าสนใจ กำไรดี, ทำง่าย-ขายคล่อง


เชาวลี ชุมขำ - สุพรรษา อยู่จันนา รายงาน / จเร รัตนราตรี ภาพ

credit : www.sanook.com

ป้ายกำกับ: , , , ,