วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

‘ลูกชุบ’ ไม่ธรรมดา เล็กๆ แต่ทำเงินก้อนโต



“ลูกชุบ” ขนมไทยชนิดนี้ไม่เพียงเป็นที่ชื่นชอบของคนไทย คนรุ่นใหม่ ๆ ยุคนี้ยังเริ่มเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามน่ารัก อาศัยฝีมือในการประดิดประดอย สีสันที่สดใส และรสชาติที่อร่อยถูกปากคนทั่วไป ทั้ง ๆ ที่เป็นขนมที่ทำจากถั่วเขียวกวนธรรมดา ก็สามารถสร้างเงินและสร้างรายได้อย่างน่าทึ่ง

วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูล “ลูกชุบ” มาบอกกล่าวกัน...

อ.สุปราณี ประเสริฐภักดี อายุ 70 ปี เจ้าของร้าน “บ้านลูกชุบ” เล่าถึงที่มาของอาชีพการทำลูกชุบขายว่า เริ่มทำลูกชุบตอนอายุ 40 ปี ยึดอาชีพนี้มาแล้วกว่า 30 ปี เนื่องจากสามีรับราชการ ต้องย้ายตามสามีไปในหลายจังหวัด มีเวลาว่างก็อยากจะเรียนทำขนมเพิ่มเติม โดยเฉพาะลูกชุบ ขนมที่สนใจและอยากจะทำเป็นมานานแล้ว

“ที่ สนใจลูกชุบเป็นพิเศษก็เพราะเกิดฝังใจ เคยเห็นลูกชุบที่เขาเอามาส่งตามห้าง คิดว่าเป็นขนมที่สวยงามและน่ารักมาก พอซื้อมาทานมันไม่อร่อย รู้สึกผิดหวัง เลยตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสได้ทำก็จะทำให้ทั้งสวยทั้งอร่อย ตอนอยู่ต่างจังหวัดก็มีหน่วยศึกษาเคลื่อนที่และชมรมสตรีมาสอนทำอาหาร ก็สนใจและมีโอกาสเรียนทำอาหารคาวหวานหลายชนิด และได้เรียนทำลูกชุบสมใจ พอรู้วิธีการทำแล้วก็ยังไม่ถูกใจอีก ก็ปรับปรุงพัฒนาจนได้สูตรของตัวเอง”

แรก ๆ ก็ทำแจกในหมู่แม่บ้านข้าราชการ พอทุกคนบอกว่าอร่อยแล้ว ถ้าเอ่ยถึง “ลูกชุบพาณิชย์” ต้องรู้กันว่าเป็นของ อ.สุปราณี เพราะตอนนั้นบ้านพักอยู่หลังสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุดรธานี

พอมาอยู่กรุงเทพฯ ก็ยกกิจการให้ลูกสาว เปลี่ยนชื่อเป็น “ลูกชุบแซดเอ็น (ZN)” ลูกก็ไปหาตลาดจนได้ มีออร์เดอร์จากเอสแอนด์พีและโรงแรมอีกหลายแห่งทุกเดือน ซึ่งบางเดือนก็มักจะได้รับออร์เดอร์ไปออกงานต่างประเทศ ก็ทำส่งอยู่หลายปี จนปัจจุบันจะไม่มีวางขายตามท้องตลาดทั่วไป แต่จะทำและขายตามออร์เดอร์ที่สั่งเข้ามา

อ.สุปราณียังบอกอีกว่า บ้านลูกชุบเน้นการปั้นด้วยมือ เพราะจะมีความอ่อนช้อยมากกว่าการใช้แม่พิมพ์ และจะปั้นตามจินตนาการของตัวเอง ตอนที่เรียนเขาก็จะสอนให้ปั้นแต่ลูกชมพู่อย่างเดียว ก็มานึกดูว่าอยากจะปั้นอะไร จนได้มาเป็นรูปผลไม้รวม เช่น มะยม แตงโม มะม่วง ชมพู่ ส้ม เชอรี่ มังคุด ฯลฯ

“และ จะเพิ่มเติมรูปแบบต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับเทศกาล เช่น ปีนี้เป็นปีหมู ก็ได้เพิ่มลูกหมูขึ้นมา ใกล้วันวาเลนไทน์ก็จะเพิ่มรูปหัวใจ และถ้าช่วงตรุษจีนก็จะปั้นเป็นซิ่วท้อ ซึ่งได้รับความนิยมมาก”

>> การทำ
วัตถุ ดิบ-ส่วนผสมตามสูตรก็มี ถั่วเขียวเลาะเปลือก 1/2 กก. ต่อหัวกะทิ 2 ถ้วยตวง และน้ำตาลทราย 1/2 กก. ส่วนวัสดุที่ใช้ก็ได้แก่... กระทะทองเหลือง, ไม้พาย, เตาแก๊ส, ตะเกียบ, ไม้จิ้มฟัน, สีผสมอาหาร, จานสี, น้ำสะอาด, พู่กัน, อ่างน้ำ, กะละมัง, เครื่องบดไฟฟ้า หรือครก, ลังถึง, ผ้าขาวบาง

>> ขั้นตอนการทำ “ลูกชุบ”
เริ่ม จากเลือกถั่วเมล็ดเสีย กรวด หิน ออกให้หมด ล้างน้ำ 1 ครั้ง แล้วแช่ทิ้งไว้ 3-4 ชั่วโมง ล้างอีกครั้ง แล้วนำไปนึ่งให้สุก บดหรือโขลกให้ละเอียด แล้วจึงนำถั่วที่บดแล้วใส่ลงไปในกระทะทองเหลือง

นำน้ำตาลทรายและกะทิมาต้มด้วยไฟอ่อนให้ส่วนผสมละลายเข้ากันดี ต้องคนตลอดเวลาไม่ให้กะทิเป็นลูก

นำ ถั่วบดยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง ค่อย ๆ ทยอยใส่น้ำกะทิลงกวนทีละน้อยจนหมด การกวนให้กวนไปในทางเดียวกัน เพื่อให้ถั่วเหนียว กวนถั่วไปเรื่อย ๆ จนถั่วกวนเริ่มแห้ง ควรหรี่ไฟให้อ่อนลง เมื่อแห้งจนจับเป็นก้อน และล่อนจากกระทะสักครู่ใหญ่ ๆ จึงยกลงจากเตา พักไว้ให้คลายร้อน นวดจนเนียน

“หากชอบกลิ่นควันเทียน ก็ให้นำถั่วกวนที่ได้ไปอบควันเทียนไว้สัก 3-5 ชั่วโมง”

เสร็จแล้วนำมาปั้นเป็นรูปผัก ผลไม้ หรือสัตว์ ตามชอบได้เลย

>> การปั้น
แบ่ง ถั่วตามขนาดที่จะปั้น ระหว่างที่ปั้นควรคลุมถั่วด้วยผ้าขาวบางชุบน้ำบิดหมาด ๆ เพื่อกันไม่ให้ถั่วแห้ง ปั้นเสร็จก็เสียบกับไม้จิ้มฟันปลายแหลม ระบายสีให้ใกล้เคียงกับของจริง

“การลงสีอย่าพยายามลงสีฉูดฉาด ให้ลงสีอ่อน ๆ เลียนแบบธรรมชาติ”

ระบายสีเสร็จก็เสียบไว้กับโฟม ทิ้งให้สีแห้ง จากนั้นก็นำไปชุบ “น้ำวุ้น”

>> วิธีทำ “น้ำวุ้น”
ใช้ วุ้นผง 5 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 5 ถ้วยตวง น้ำตาลนิดหน่อยเพื่อความวาว นำส่วนผสมใส่หม้อคนให้เข้ากัน แล้วยกขึ้นตั้งไฟกลาง ๆ หมั่นคนจนวุ้นใสเหนียว ยกลงทิ้งไว้สักครู่จะมีฟองสีขาวลอยขึ้น ให้ช้อนฟองทิ้ง

นำถั่วที่ปั้นและระบายสีแล้วชุบกับส่วนผสมวุ้น 1 ครั้ง ปักบนโฟมให้แห้ง แล้วจึงชุบครั้งที่ 2 และ 3 ทิ้งไว้ให้แห้ง เมื่อวุ้นแข็งตัวดีแล้วจึงถอดออกจากไม้จิ้ม ใช้กรรไกรตัดส่วนที่ไม่ต้องการทิ้ง ตกแต่งด้วยใบแก้วให้สวยงาม

>> การขาย
ทาง บ้านลูกชุบจะคิดราคาเป็นชุด ๆ ซึ่งแต่ละชุดจะแตกต่างกันไปตามปริมาณและบรรจุภัณฑ์ มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นตะกร้าหวาย ถาดเงิน ถาดทอง ถาดหวาย กล่องพลาสติก เข่งไม้ไผ่ ถาดประดิษฐ์ใบตอง ฯลฯ โดยจะมีราคาตั้งแต่ 60-3,000 บาท แล้วแต่ว่าลูกค้าต้องการแบบไหน ขนาดเท่าไหร่

ใคร สนใจอยากจะสั่งซื้อหรือลองชิม “ลูกชุบ” ของ อ.สุปราณี ร้านบ้านลูกชุบ ติดต่อไปได้ที่ เลขที่ 33 ซอย 50 ถนนจรัญสนิทวงศ์ กรุงเทพฯ 10700 โทร. 0-2424-8606

“ลูกชุบ” ลูกเล็ก ๆ ก็ทำเงินก้อนโตได้

ป้ายกำกับ: , , ,

‘หัวใจประดิษฐ์’ กระดาษสาเก่า ‘เป็นเงิน’



เรื่อง ของงานฝีมืองานประดิษฐ์หากรู้จักมองตลาด รู้จักจับกระแส สร้างสรรค์ให้เข้ากับเทศกาล ก็สามารถขายได้สม่ำเสมอทั้งปี และจะดียิ่งขึ้นหากพัฒนาสินค้าให้หลากหลายมากขึ้น โดยไม่ยึดติดอยู่กับรูปแบบเก่าๆ

อย่างเช่นงาน “หัวใจประดิษฐ์” ที่ผลิตจากวัตถุดิบกระดาษสา รายนี้...

พรรณี ตรีชัย ประธานกลุ่มทำการ์ดอวยพรกระดาษสา เริ่มจับ “งานกระดาษสา” มานาน 7-8 ปีแล้ว โดยเริ่มจากการทำการ์ดอวยพรก่อน จากนั้นจึงแตกชนิดสินค้าเพิ่มขึ้น จนปัจจุบันมีตั้งแต่การ์ดอวยพร วัสดุสำหรับตกแต่งงานฝีมือ พวงมาลัยจากกระดาษสา จนถึง “หัวใจ” ทรงทึบและโปร่งที่ประดิษฐ์ขึ้นจากกระดาษสา ซึ่งจากประสบการณ์เกี่ยวกับงานด้านกระดาษสาที่มีมายาวนาน ทำให้รู้ว่า “การเลือกใช้กระดาษเก่าใช้แล้ว หรือกระดาษรีไซเคิล มีข้อดีมากกว่าการเลือกใช้กระดาษใหม่” เนื่องจากกระดาษเก่ามีโซดาไฟไม่มาก ทำให้สีติดดีและสวยคงทนกว่ากระดาษใหม่ ที่สำคัญช่วยลดมลพิษและประหยัดต้นทุนลงได้มาก

สำหรับงานที่ทำอยู่เธอ บอกว่า เริ่มจากการทำ “หัวใจประดิษฐ์” ในกระถาง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า ต่อมาเริ่มมีลูกค้าเรียกร้องมากขึ้นว่าต้องการหัวใจขนาดใหญ่ขึ้น และต้องการหัวใจดวงเดี่ยว ๆ เพื่อนำไปใช้เป็นของชำร่วยในงานแต่งงาน หรือประดับตกแต่งในงาน จึงทำให้มีสินค้าเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชนิด

ตลาด สินค้านั้นนอกจากในประเทศแล้ว ผลงานหัวใจประดิษฐ์ยังส่งออกได้อีกด้วย อาทิ ประเทศอิตาลี ยูเครน และฮ่องกง และบางทีลูกค้าก็ต้องการให้ทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อใช้ในโอกาสพิเศษ โดยมีตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงผู้ใหญ่

“ตอนนี้ลูกค้าต้องการมาก ยิ่งในช่วงเทศกาลเว็ดดิ้งหรือช่วงวัน วาเลนไทน์ สินค้าจะยิ่งขายดี”

กับเงินทุนที่ใช้ในการประกอบอาชีพนี้ หากทำเต็มรูปแบบจริงจังต้องใช้งบลงทุนเบื้องต้นประมาณ 300,000 บาท โดยจะหนักในเรื่องของอุปกรณ์ “เครื่องกดและแม่พิมพ์กลีบดอกไม้” สำหรับกดกระดาษสาให้เป็นรูปดอกไม้ โดยตกราคาเครื่องละประมาณ 100,000 บาท ขณะที่แม่พิมพ์หรือโมขึ้นลายต้องสั่งทำกับโรงกลึงเหล็ก เฉลี่ยชุดละ 1,000 บาท ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ประมาณ 80% จากราคาขาย แต่เมื่อทำไปนาน ๆ ก็จะอยู่ตัวและสามารถถอนทุนคืนได้ ซึ่งจะทำให้มีกำไรเฉลี่ยที่มากขึ้นในอนาคต

วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้หากไม่นับเครื่องกดและแม่พิมพ์ทำกลีบดอกไม้ก็จะมี

อาทิ กระดาษสา, เกสร ดอกไม้, สีย้อมผ้า, กาวเทส เตอร์ชอย (กาวญี่ปุ่น), โฟม, กรรไกร, คัตเตอร์ และวัสดุตกแต่ง เช่น ริบบิ้น, ฟลอร่าเทป

“การ ลงทุนครั้งแรก หากต้องการผลิตเยอะ ๆ ก็ต้องใช้เครื่องกดพิมพ์ แต่ถ้าแค่ทำเป็นอาชีพเสริมก็อาจจะใช้กรรไกรค่อย ๆ ตัดกระดาษให้เป็นดอกไม้ก็ได้ แต่จะช้ากว่า”

ขั้นตอนการทำ
เริ่มจากนำกระดาษสารีไซเคิลมาเข้าเครื่องกดขึ้นรูปสำหรับทำกลีบดอกไม้ ทำไปเรื่อย ๆ จนได้จำนวนตามต้องการ หรืออาจจะทำเผื่อไว้สำหรับใช้ในอนาคตก็ได้ จากนั้นนำกลีบดอกที่ได้ไปย้อมสีและนำออกไปผึ่งลมให้แห้งสนิท ใช้เวลาประมาณ 2 วัน โดยต้องระวังอย่าให้โดนแดด เนื่องจากจะทำให้สีตก

จากนั้นนำ โฟมมาตัดให้เป็นรูปทรงหัวใจในขนาดที่ต้องการ หรือหากต้องการประหยัดเวลา ก็อาจจะสั่งร้านตัดโฟมให้ตัด ตามแบบและขนาดที่เรากำหนดก็ได้ เมื่อได้โฟมรูปหัวใจแล้วก็มาถึงขั้นตอนการทำดอกไม้ ดอกไม้ส่วนใหญ่ที่นิยมคือ ดอกกุหลาบ เริ่มจากนำเกสรดอกไม้มาเสียบเข้าตรงกลางกลีบดอกอันแรก โดยใช้กาวเทสเตอร์ชอยหรือกาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นกาวใส เวลาทาแล้วจะไม่ค่อยมีรอย เป็นตัวเชื่อมยึด จากนั้นพับกระดาษเข้าไปให้เป็นรูปทรงของดอก ทำแบบนี้ประมาณ 4 ชั้น จากนั้นนำกลีบเลี้ยงมาประกอบด้วยวิธีเดียวกัน

นำดอกที่ได้ทั้งหมด มาทากาวตรงก้าน จากนั้นเสียบลงบนโฟม วิธีการติดดอกไม้กับโฟมจะต้องเริ่มจากด้านบนของหัวใจไล่ไปจนถึงท้ายหัวใจ ขณะเสียบดอกไม้ต้องคอยบีบบริเวณไหล่หัวใจให้เข้ารูปโค้ง เพื่อจัดไหล่ของหัวใจให้เท่ากัน เมื่อเสียบครบหมดทั้งดวงก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

“หัวใจดวงหนึ่งใช้ดอกกุหลาบประมาณ 200-250 ดอก ขึ้นกับขนาดโฟมและดอกที่ใช้ การเสียบดอกไม้ถ้ายังไม่ชำนาญให้ร่างแบบก่อน เพราะก่อนเสียบต้องทากาวที่ก้านดอก ซึ่งพลาดแล้วพลาดเลย”

ราคา ขายหัวใจประดิษฐ์นั้น หากเป็นหัวใจในกระถางอยู่ที่ 55-145 บาท, หัวใจเป็นดวงตกดวงละ 120-250 บาท และพวงมาลัยประดิษฐ์เริ่มต้นที่ 120 บาทขึ้นไป

“เราต้องพัฒนาตลอด เพราะในตลาดจะมีการเลียนแบบ ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาพื้นฐานของสินค้างานฝีมือ ดังนั้นห้ามหยุดนิ่ง ต้องคิดแบบใหม่ ๆ ไว้จะได้ไม่ซ้ำกับใคร อีกทั้งทำให้งานไม่ซ้ำซากจำเจ” เจ้าของงานบอก

สนใจงานผลิตภัณฑ์ “หัวใจประดิษฐ์” หรือต้องการซื้ออุปกรณ์ ติดต่อ พรรณี ตรีชัย กลุ่มทำการ์ดอวยพรกระดาษสา ได้ที่เลขที่ 310 ซอยวงศ์สว่าง 11 เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ โทร. 0-2913-1900-1, 08-1515-1940

ส่วนคนที่สนใจอยากจะลองฝึกทำงานประเภทนี้ก็สามารถสอบถามไปได้เช่นกัน


ศิริโรจน์ ศิริแพทย์-สุพรรษา อยู่จันนา

credit :www.sanook.com

ป้ายกำกับ: , , , ,

วิเคราะห์ช่องทางทำกิน ปี 50 อาชีพใด เด่น - ด้อย


ดร.จักรกรินทร์ ศรีมูล คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ วิเคราะห์แนวโน้มอาชีพในปี 2550
โดยเฉพาะ “เอสเอ็มอี” ว่า... ในปีหน้าพวก “ธุรกิจก่อสร้างไปได้สวย” แต่ต้องขึ้นอยู่กับอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย ปีนี้ตัวเลขจีดีพีเพียง 4.55% ถือว่าน้อย ถ้าปีหน้าขึ้นสัก 6% ก่อสร้างจะไปดี ซึ่งจีดีพีโตเร็ว ธุรกิจก่อสร้างก็จะไปได้เร็ว ทำให้ “ร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างได้รับผลดี” ไปด้วย

“ธุรกิจด้านไอที-คอมพิวเตอร์ยังไปได้...แต่ต้องเร็ว”
เพราะ เป็นธุรกิจที่ต้องปรับตัวเร็ว ต้องเปลี่ยนเร็วมาก บางทีมีซอฟต์แวร์ 2 อาทิตย์ก็ต้องเปลี่ยนมาใหม่ แล้วต้องขายเร็ว มีนวัตกรรมเปลี่ยนรุ่นเรื่อย ๆ ตกรุ่นเร็ว คนก๊อบปี้เร็ว ของออกมาวันสองวันคนก็ก๊อบปี้ออกมาแล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องรีบขายให้เร็ว และต้องเปลี่ยนใหม่ให้เร็ว


“ธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร-ขนม และส่งออก...ก็ยังไปได้ดี”
แต่ขึ้นกับช่องทางการกระจายสินค้าตามจุดใหญ่ ๆ ถ้าจะให้ก้าวไกล ซึ่งสำหรับอาหาร...แม้ว่าเศรษฐกิจจะแย่หรือไม่แย่อย่างไรแต่อาหารก็ยังเป็น เรื่องสำคัญ ธุรกิจร้านอาหารจึงไปได้แน่นอน แต่จะต้องคอยปรับตัวเหมือนกัน เพราะคนไทยเบื่อง่าย อาทิ เปลี่ยนเมนู เปลี่ยนชื่อร้าน ปรับลุคส์ อาจจะดัดแปลงให้ร้านมีบริเวณกว้างขึ้น มีที่จอดรถกว้าง ๆ มีสนามเด็กเล่น ตกแต่งร้านให้ดูทันสมัยมีการใส่ใจลูกค้า ขณะที่ธุรกิจส่งออกนั้นปัญหาอาจจะอยู่ที่ช่องทางการส่งออกบ้าง


“ธุรกิจเกี่ยวกับความรู้ การศึกษา ก็ไปได้ด้วยตัวเอง”
เพราะเศรษฐกิจดีไม่ดีคนก็ต้องเรียนหนังสือ อย่างไรก็ตาม ต่อไปคนไทยจะเหมือนคนต่างประเทศ ถ้ามีเงินก็จะมีเวลาว่างเยอะ ก็คิดที่จะหาเรื่องการออกกำลังกาย โยคะ หาอาหารเสริม วิตามิน เพื่อสุขภาพ ดังนั้น “ธุรกิจด้านสุขภาพจะมีอนาคต”


ขณะที่ “ธุรกิจเกี่ยวกับความงาม-การแสดง ก็ไม่ควรมองข้าม”
อาทิ เครื่องสำอาง ลดน้ำหนัก สปา โรงเรียนสอนการแสดง ซึ่งสำหรับเรื่องความงามนั้นเป็นค่านิยมทั่วโลก อีกอย่างคนเราพอมีเงินมากขึ้นก็อยากสบาย อยากทำอะไรให้ตัวเองดูดี หรือเพื่อความสุนทรีย์ ธุรกิจที่ทำเงินหลังเลิกงาน กิจกรรมต่าง ๆ จึงมีมากขึ้นเรื่อย ๆ


“ธุรกิจผับ-บาร์ก็น่าจะยังไปรอด” เพราะเมืองไทยเป็นเมืองเที่ยวอยู่แล้ว คนไทยเป็นคนเที่ยวเก่ง ธุรกิจนี้จึงไปได้รอด เพียงแต่จะต้องคอยปรับ คอยเปลี่ยน เพื่อให้ไม่ซ้ำซาก


“ปัจจุบัน เอสเอ็มอีไทยไม่ควรคิดเพียงแค่ในบ้านแล้ว เช่น เครื่องถ้วยของอยุธยา ตอนนี้คนที่ทำไม่มีคนสืบทอด เราต้องไปจ้างไปเปิดโรงงานที่ลาว ไปสอนเทคนิคให้เขา แล้วก็มีการส่งออกเป็นของคนไทย ก็เหมือนที่ญี่ปุ่นมาทำโทรทัศน์ที่เมืองไทยส่งออกเป็นโทรทัศน์ญี่ปุ่น ก็เหมือนกัน ต้องคิดออกไปมากยิ่งขึ้น เพราะถ้าเราคิดแค่ตรงนี้เราก็จะอยู่แค่ตรงนี้ แล้วมันก็จะอยู่ไม่รอด เพราะการออกไปข้างนอกมันได้ไอเดียใหม่ ๆ ยิ่งขึ้น ตรงนี้ต้องคิดกว้าง ๆ ต้องหาตลาดต้องหาคู่แข่งให้เป็น” ...ดร.จักรกรินทร์ให้มุมมอง

ก่อนจะ ระบุทิ้งท้ายว่า... “อย่างไรก็ตาม ปีหน้าธุรกิจที่อาจจะเป็นดาวร่วง น่าจะเป็นธุรกิจส่งออกที่จะมีปัญหาเพราะเงินบาทแข็งตัว ธุรกิจที่อิงราคาเป็นหลักจะมีปัญหา เช่น สินค้าพื้นบ้าน หรือโอทอป ที่แบรนด์ยังไม่เกิด เพราะตอนนี้สินค้าจากจีนบุกเข้ามาทำตลาดมาก ๆ”



ผศ.วิทวัส รุ่งเรืองผล ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่า... ปี 2549 ที่กำลังจะผ่านไป ยังไม่เห็นว่ามีธุรกิจใดเป็นดาวเด่น-ธุรกิจใดเป็นดาวร่วงจริง ๆ เลย เพราะทุกอย่างคงอยู่ในสภาพเดิม ๆ กันหมด

แต่ “ธุรกิจที่น่าจะไปได้ดีในปี 2550 คือธุรกิจการค้าวัสดุก่อสร้าง”
เพราะ ช่วงปลายปีนี้เกิดน้ำท่วมมาก ดังนั้น ช่วงปลายปีถึงปีหน้าอาจจะมีการปรับปรุงบ้าน ซ่อมบ้าน สร้างบ้านกันมาก ซึ่งธุรกิจค้าขายอุปกรณ์ก่อสร้าง รวมไปถึง “ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างน่าจะได้รับอานิสงส์” ตรงจุดนี้


“ธุรกิจอาหาร
ถ้าเป็นเอสเอ็มอีที่มีการบริหารจัดการที่ดีอยู่แล้วจะดีต่อเนื่อง” เพราะร้านอาหารจะประสบความสำเร็จได้ขึ้นอยู่กับฝีมือ และกำไรหรือไม่กำไรนั้นขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของเจ้าของร้าน

ธุรกิจ เอสเอ็มอีนั้นจะต้องเข้าง่าย-ออกง่าย และผู้ประกอบการต้องมีความรู้ ความชำนาญ และใจรัก แต่ถ้าทำเพราะตามกระแสอยากมีธุรกิจของตนเองก็คงลำบาก เพราะมีบทเรียนมาให้เห็นมากต่อมากแล้ว


“ธุรกิจขายโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ ยังน่าสนใจอยู่”
เพราะตลาดมาร์จิ้นยังกว้าง และมีเทคโนโลยีใหม่เข้าเรื่อย ๆ และการบริหารจัดการไม่มีอะไรซับซ้อน ดังนั้นก็ยังน่าจะไปได้เรื่อย ๆ แต่คงไม่หวือหวาเหมือนในอดีต


“ส่วนธุรกิจ ที่ดร็อปลงนั้น ก็มีค้าปลาสวยงามที่เคยเฟื่องฟู ธุรกิจค้าปลีกที่แนวโน้มตกลงหมดแล้ว ธุรกิจร้านกาแฟ ร้านเบเกอรี่ ที่เคยเฟื่องฟูตามกระแสตอนนี้เริ่มนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว เพราะเข้าใจว่าโอเวอร์ซัพพลาย (ปริมาณมากกว่าความต้องการ) เช่นเดียวกับธุรกิจสปาที่เคยเฟื่องฟูตามนโยบายของรัฐที่ต้องการโปรโมต ปัจจุบันก็ไม่มีอะไร หรือธุรกิจปั๊มน้ำมันที่เคยรุ่ง ปัจจุบันเมื่อน้ำมันราคาแพง ปั๊มเล็ก ปั๊มน้อย ก็ทยอยปิดตัวลง” ...ผศ.วิทวัสกล่าว


ผศ.ดร.ศุภณัฐ ชูชินปราการ คณบดี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ร่วม วิเคราะห์แนวโน้มอาชีพในปี 2550 แล้วแจกแจงว่า... ปีที่ผ่านมามีปัญหาหลายอย่าง ทั้งในเรื่องการเมือง ภัยพิบัติ น้ำมันแพงส่งผลกระทบให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การลงทุนก็ยังชะลอ คนก็ยังชะลอเรื่องการจับจ่ายใช้สอย เพราะข้าวของขึ้นราคา ดังนั้น กระแสในปีหน้าก็ยังคงเป็นแบบนี้ต่อเนื่องต่อไปเรื่อย ๆ

แต่ “ธุรกิจเอสเอ็มอีที่ดีคือพวกอาหาร ของกินของใช้ที่จำเป็น”
เพราะ คนต้องใช้ในชีวิตประจำวัน หรืออาจจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับแฟรนไชส์อาหาร ซึ่งอาหารของสดน่าจะไปได้ดี และอาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูปก็น่าจะไปได้ดีด้วย เพราะว่ามันก็จำเป็นสำหรับคนยุคนี้


“ธุรกิจพวกไอที คอมพิวเตอร์-โทรศัพท์มือถือพอไปได้”
โดยลูกค้าจะเป็นแค่บางกลุ่ม ถ้ากลุ่มวัยรุ่นอาจจะซื้อ แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วอาจจะคิดก่อน ยังไม่รีบ ยังไม่ต้องเปลี่ยน ใช้ได้ก็ใช้ไปก่อน


“ธุรกิจการศึกษายังคงไปได้ด้วยตัวของมันเอง”
อย่างเช่นโรงเรียนกวดวิชา พ่อแม่ก็ให้ลูกไปเรียน ธุรกิจมันก็ไปได้ด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว


“พวก ของกินของใช้ของที่มันออกในเชิงฟุ่มเฟือย ยอดขายจะลดลง ของที่ค่อนข้างจะรอได้ ไม่ต้องรีบซื้อ ของฟุ่มเฟือย ของที่ไม่จำเป็น อาทิ พวกเครื่องหนัง เครื่องประดับ จะชะลอตัว ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องเน้นเรื่องการควบคุมต้นทุนให้ดี ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นต้องตัด ต้องบริหารงานอย่างมี

ประสิทธิภาพ เน้นผลกำไรระยะยาว ไม่เน้นผลกำไรระยะสั้น ต้องรักษาคุณภาพให้ดี เอสเอ็มอีต้องพยายามศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา โลกเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน ก็ต้องตามให้ทัน แล้วนำมาปรับประยุกต์ใช้กับการบริหารงานของตัวเอง สินค้าบริการของตัวเองต้องตามให้ทัน” ...ผศ.ดร.ศุภณัฐระบุ


ก็ เป็นการ “วิเคราะห์อาชีพเด่น-ด้อย ปี 2550” โดย 3 นักวิชาการผู้ชำนาญการ ซึ่งอาจจะไม่ครบถ้วนทุกอาชีพของคนไทยในยุคปัจจุบัน แต่ก็น่าจะพอเป็นแนวทางให้ลองพินิจพิจารณากันได้บ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งใครอยู่กลุ่มเด่น...ก็ยินดีด้วย ส่วนใครอยู่กลุ่มด้อย...ระวังหน่อยก็ไม่เสียหาย แต่ก็อย่าถึงกับกังวลจนเกินไป

ปีใหม่ 2550 ก็ขอให้ทุกท่าน-ทุกอาชีพประสบความสำเร็จกันทั่วหน้า แม้ อาจจะมีอุปสรรคบ้าง ก็ขอให้สามารถนำพากิจการดำเนินไปได้อย่างราบรื่นในที่สุด !!

credit : www.sanook.com

ป้ายกำกับ: , ,

'ตุ๊กตาผ้า' ขายได้ขายดีทุกเทศกาล



ถ้า พูดถึงของขวัญที่ได้รับความนิยม หนึ่งในของที่คนส่วนใหญ่มักจะซื้อเพื่อเป็นของขวัญมอบให้กับคนที่รักในงาน เทศกาลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ปีใหม่ วาเลนไทน์ รับปริญญา วันเด็ก ฯลฯ ก็จะรวมถึง “ตุ๊กตา” ที่มิใช่แค่ของเล่น เด็กเท่านั้น ซึ่ง “ตุ๊กตาผ้า” ก็เป็นหนึ่งในตุ๊กตายอดฮิต และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอ...

สุชญา สุขหงษ์ ประธานกลุ่มหัตถกรรมผลิตตุ๊กตาบ้านวังน้ำเขียว ต.วังน้ำเขียว อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เป็นผู้ที่ผลิตและจำหน่ายตุ๊กตาทุกชนิด ภายใต้ชื่อ “PLOY TOYS” ซึ่งมีประสบการณ์ในการผลิตตุ๊กตามานานกว่า 10 ปี ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของกลุ่มมีจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ

ก่อน ที่จะมายึดอาชีพทำตุ๊กตานั้น สุชญาเล่าว่า เคยทำงานบริษัทผลิตตุ๊กตาส่งออก อยู่ฝ่ายการตลาด แต่ในช่วงยุคเศรษฐกิจฟองสบู่แตก บริษัทที่ทำอยู่ก็เริ่มให้คนงานออก และตนก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น หลังจากตกงานก็เริ่มหาช่องทางอาชีพทำ และก็ตกลงกับสามีว่าจะมาทำ “ตุ๊กตา” ขาย

“จากที่เคยอยู่ฝ่ายการตลาดของบริษัทเก่า ทำให้เห็นว่ายอดขายตุ๊กตามียอดจำหน่ายที่สูง บวกกับเป็นคนที่ชอบตุ๊กตาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงยิ่งทำให้เป็นเรื่องง่ายในการที่จะตัดสินใจทำตุ๊กตาผ้าขาย”

การ ทำตุ๊กตาอาจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่ไม่มีความรู้ทางด้านนี้ แต่ก็ไม่ยากถ้ามีความพยายาม พอเริ่มที่จะทำจริงจังก็เริ่มศึกษาวิธีการทำด้วยตัวเอง โดยหาซื้อตุ๊กตาผ้ามาแกะแยกชิ้นส่วนออกจนหมดทุกชิ้น เพื่อที่จะนำมาเป็นตัวอย่างในการทำ แรก ๆ ตุ๊กตาที่ทำออกมาจะนำไปขายตามงานวัดและตลาดนัด

ตุ๊กตาที่ผลิตขึ้นก็พอขายได้ แต่ยังไม่ค่อยมีมาตรฐาน อีกทั้งการบริหารจัดการต่าง ๆ ก็ยังไม่ดี สุชญาจึงเข้าไปอบรมในโครงการพัฒนาผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถด้านบริหารจัดการธุรกิจในแต่ละด้าน ให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน

หลัง จากที่ได้เข้าอบรมก็สามารถวางแผนในการจัดการธุรกิจได้ดีขึ้น รู้จักการจัดทำบัญชี ได้เรียนรู้เทคนิคด้านการตลาด เทคนิคการขาย จากนั้นก็เริ่มมาพัฒนากลุ่มผลิตตุ๊กตาให้มีมาตรฐานมากขึ้น จนปัจจุบันผลิตภัณฑ์เริ่มเป็นที่ยอมรับจากลูกค้า ผลิตส่งให้กับบริษัทลิขสิทธิ์ถึง 70% และทางกลุ่มผลิตจำหน่ายเอง 30%

“ธุรกิจ ผลิตตุ๊กตาผ้า สินค้าที่ผลิตออกมาจะต้องเป็นที่ถูกใจลูกค้าจึงจะขายได้ เพราะฉะนั้นรูปแบบของตุ๊กตาจะต้องมีความโดดเด่น ที่สำคัญจะทำให้ธุรกิจไปรอดก็จะต้องเน้นในเรื่องคุณภาพสินค้า ตรงต่อเวลา และความซื่อสัตย์” สุชญากล่าว

ในการผลิต “ตุ๊กตาผ้า” ขาย วัสดุอุปกรณ์ในการทำที่สำคัญ ๆ ก็มีจักรเย็บผ้า, ผ้าสำหรับทำตุ๊กตาโดยเฉพาะ, ใยสำหรับยัดในตัวตุ๊กตา...

แหล่งวัตถุดิบที่เป็นแหล่งใหญ่ที่สามารถไปหาซื้อได้อยู่ที่ย่านบางบอน...

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากออกแบบตุ๊กตา หรือหาต้นแบบตุ๊กตาที่ต้องการจะทำ หลังจากที่ได้แบบที่ต้องการก็ทำแพตเทิร์น ซึ่งตุ๊กตา 1 ตัว อาจมีแพตเทิร์น 25-40 ชิ้น จากนั้นก็นำแพตเทิร์นไปวางทาบบนผ้า วาดตามรอยจากนั้นก็ตัดตามรอยเส้น ซึ่งวิธีนี้เป็น วิธีที่ง่าย แต่งานอาจจะช้าหน่อย

ในส่วนของสุชญาจะใช้วิธีการนำแพตเทิร์นที่ ได้ไปวาดลงบนแผ่นกระเบื้องกันความร้อน จากนั้นก็จะตัดตามแบบ ใช้เส้นลวดกันความร้อนชนิดแบนติดตามขอบกระเบื้องกันความร้อนที่ตัดตาม แพตเทิร์น ล็อกติดเข้าด้วยกันโดยใช้ลวดกันความร้อนเส้นเล็กเป็นตัวรัด เชื่อมต่อสายไฟที่จะต้องไปเสียบเข้ากับหม้อแปลงไฟฟ้าปรับแรงดัน สุดท้ายต่อด้ามจับด้วยไม้ วิธีการใช้ก็แค่เสียบปลั๊กไฟเข้ากับหม้อแปลงปรับแรงดันไฟฟ้า รอให้ลวดเกิดความร้อน จากนั้นก็ทำการปั๊มลงบนผ้า

วิธีนี้เป็นวิธีที่รวดเร็วในการตัดผ้า แต่ก็ต้องใช้ทุนสูงหน่อย โดยหม้อแปลงปรับแรงดันไฟฟ้ามีราคาอยู่ที่ประมาณ 12,000-13,000 บาท...

เมื่อ ได้ชิ้นส่วนตุ๊กตาทุกชิ้นครบ ก็ทำการเย็บแต่ละชิ้นให้เรียบร้อย ขั้นตอนต่อไปก็คือการยัดใย ก่อนยัดใยก็นำชิ้นส่วนที่แยกเย็บมาเย็บประกอบกันให้เรียบร้อย แล้วทำการยัดใย ยัดเสร็จก็ทำการตกแต่งภายนอกให้เรียบร้อย

การยัดใย ใส่ในตัวตุ๊กตานั้นสามารถยัดด้วยมือได้สำหรับผู้ที่ยังไม่มีเงินทุนที่จะ ซื้อเครื่องฉีดใย ส่วนเครื่องฉีดใยนั้นมีราคาอยู่ที่ประมาณ 300,000 บาท ซึ่งคุณภาพตุ๊กตาที่ยัดใยด้วยเครื่องก็จะนิ่งกว่าการใช้มือ

จากนั้นก็ทำการเย็บปิดรูของตัวตุ๊กตาที่เป็นจุดยัดใย ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอน พร้อมจำหน่าย

ตุ๊กตา ของกลุ่มหัตถกรรมผลิตตุ๊กตาบ้านวังน้ำเขียว มีราคาขายตั้งแต่ 30-1,000 บาท โดยมีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 70% ของราคาจำหน่าย ใครสนใจสั่งซื้อก็สามารถติดต่อได้ที่ โทร. 08-1616-5967

จะสั่งไปจำหน่ายต่อเป็นอาชีพ หรือจะลองฝึกฝนทำขายเองก็สุดแท้แต่ !!.

credit www.sanook.com

ป้ายกำกับ: , , , , ,

‘โปสการ์ด’ ไปได้ดีถ้า ‘มีเอกลักษณ์’



ทีม “ช่องทางทำกิน” เคยเสนองานประดิษฐ์เกี่ยวกับโปสการ์ดและบัตรอวยพรที่ระลึกไปหลายครั้ง แต่งานประเภทนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะตัน ด้วยมีการคิดต่อยอดทยอยออกมาอยู่เสมอ เรียกได้ว่าเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ยังน่าสนใจ ทั้งเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริม เพราะตลาดยังเปิดกว้างให้กับคนมีกึ๋น มีไอเดียอยู่เสมอ

อย่าง “การ์ดงานศิลปะอิงประวัติศาสตร์” ที่จะมาดูกันวันนี้...

กรินทร์ กรินทสุทธิ์ เจ้าของผลงาน เล่าว่า ได้รวมกลุ่มกับเพื่อนอีก 2 คนคือ ธงกิจ นานาพูลสิน และ รัมภา สาลิการิน ทำการผลิตโปสการ์ดแนว “ประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทย” โดยได้แรงบันดาลใจมาจากความต้องการที่จะเผยแพร่เรื่องราวทางโบราณคดี ซึ่งเป็นความรู้ที่ตนเองและเพื่อนได้เรียนรู้มาจากมหาวิทยาลัยศิลปากร ให้คนทั่วไปได้เข้าใจมากขึ้น ทำให้มานั่งคิดว่าควรจะสื่อสารออกมาทางด้านใด จนสุดท้ายจึงมาลงเอยที่ “โปสการ์ด” เพราะมีต้นทุนไม่สูงมากนัก และสามารถเข้าถึงคนทั่วไปได้ง่ายที่สุด ปัจจุบันได้เริ่มผลิตและทดลองวางขายตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ได้สักระยะหนึ่งแล้ว โดยใช้ชื่อว่า SIAM_STORY เป็นชื่อสินค้า สำหรับรูปแบบของการ์ดที่ผลิตนั้นมีอยู่ 2 ชนิดคือ 1.การ์ดทำมือ ที่ใช้การผลิตด้วยมือเกือบทุกขั้นตอน กับ 2.การ์ดพิมพ์ ที่ออกแบบและสั่งให้ทางโรงงานพิมพ์ตามแบบที่กำหนด ขณะนี้มีทั้งหมด 8 รูปแบบ อาทิ มัคนารีผล พระวิษณุ ปัญจวัคคีย์ เป็นต้น โดยแทรกตำนานและเรื่องราวความเป็นมาให้ผู้ซื้อการ์ดได้ศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ แบบเข้าใจง่าย“ส่วนใหญ่จะเป็นรูปภาพเกี่ยวกับเทพเจ้าและตำนานความเชื่อตาม แบบพุทธศาสนา โดยมีเรื่องราวประกอบเหมือนกับเป็นการสรุปให้ผู้ซื้อได้อ่านและเข้าใจเรื่อง ราวอย่างง่าย ๆ”

เจ้าของผลงานบอกอีกว่า จากการทดลองขายพบว่าได้รับการตอบรับดีมาก โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างประเทศ และก็มีคนไทยบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ชอบและสนใจทางด้านศิลปะและโบราณคดี

จาก การทดลองวางขาย ถ้าเทียบกับทุนที่ใช้ไป ถือว่าดีมาก เพราะมีคำชมเข้ามาเยอะ โดยตอนนี้ก็มียอดสั่งซื้อมาจากต่างประเทศบ้างแล้ว เนื่องจากเห็นว่าเป็นการ์ดที่แปลกและยังไม่มีใครทำในตลาด

เมื่อถาม ถึงสภาพการแข่งขันในตลาดนั้น เจ้าตัวบอกว่าไม่ค่อยกังวล แม้ตลาดของโปสการ์ดนั้นมีการแข่งขันสูง แต่ก็ยังมีช่องว่างให้ทำได้อีกมาก เนื่องจากถือเป็นตลาดที่แข่งกันที่ไอเดียและเอกลักษณ์เป็นสำคัญ และโดยส่วนตัวแล้วที่ทำการ์ดนี้ขึ้นก็ต้องการที่จะเผยแพร่เกร็ดเล็กน้อย เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทางศิลปะของไทย

แนวคิดการจัดทำการ์ดเชิง ประวัติศาสตร์ศิลปะนั้น กรินทร์บอกว่าสำหรับรูปภาพจะเน้นลักษณะให้ตรงกับต้นฉบับเดิมหรือรูปภาพเดิม มากที่สุด แต่นำมาปรับให้เหมือนเป็นการ์ตูนหรือลวดลายแบบกราฟิกเล็กน้อย ขณะที่ข้อความที่ประกอบอยู่บนโปสการ์ดนั้นจะเน้นที่สรุปความสำคัญของภาพด้วย ภาษาที่กระชับและเข้าใจง่ายที่สุด โดยขณะนี้การ์ดที่ผลิตใช้ภาษาอังกฤษและภาษาไทยประกอบ เพื่อต้องการให้ผู้ซื้อทำความเข้าใจกับภาพได้

ทุนเบื้องต้นนั้นใช้งบประมาณไม่เกิน 500 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าอุปกรณ์จำเป็นในการทำการ์ด อาทิ กรรไกร, คัตเตอร์, กาวลาเท็กซ์, กาวยูฮู และไม้บรรทัด ส่วนทุนวัตถุดิบนั้นอยู่ที่ประมาณ 30% จากราคาขาย

สำหรับวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการทำการ์ดทำมือ อาทิ กระดาษสา, กระดาษลอกลาย, ดินสอสี, กระดาษลูกฟูก, กระดาษเงิน-กระดาษทอง และวัสดุตกแต่งตามต้องการ

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากทำการวาดลายหรือรูปภาพที่ต้องการลงบนกระดาษ หากไม่ชำนาญก็อาจจะใช้กระดาษลอกลายทาบที่ภาพต้นแบบและนำมาวาดลงบนกระดาษ ก่อนจะนำไปถ่ายเอกสารอีกครั้งโดยกระดาษที่ใช้ถ่ายเอกสารสำหรับทำภาพให้เลือก ใช้กระดาษสาชนิดบาง เพราะหากใช้กระดาษสาหนา ๆ กระดาษอาจติดขัดและทำความเสียหายกับเครื่องถ่ายเอกสารได้เมื่อได้ภาพแบบที่ ต้องการแล้ว ให้นำกระดาษสาหนามาตัดให้พอดีกับขนาดโปสการ์ดที่ต้องการ นำภาพที่ถ่ายเอกสารไว้มาตัดให้พอดีและติดทับด้วยกาวเข้าด้วยกัน จากนั้นจึงตกแต่งด้วยวัสดุตกแต่งตามต้องการ

เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ ซึ่งสำหรับราคาขายนั้น การ์ดทำมือราคาขายอยู่ที่แผ่นละ 45 บาท แต่ การ์ดพิมพ์ราคาขายอยู่ที่แผ่นละ 25 บาท โดยหากเป็นการ์ดพิมพ์ก็ขึ้นอยู่กับโรงพิมพ์ที่รับงานว่าสามารถพิมพ์ขั้นต่ำ สุดได้เท่าไหร่ ซึ่งราคาจะถูกหรือแพงขึ้นอยู่กับกระดาษและคุณภาพการพิมพ์เป็นสำคัญ

ใครสนใจการ์ดแนวประวัติศาสตร์ศิลปะที่ว่านี้ ติดต่อได้ที่ โทร.08-9486-7557 กับ 08-1441-5015 หรือทางอีเมลที่ siam_story@yahoo.com

“แม้ ตลาดของโปสการ์ดจะมีการแข่งขันสูง แต่หากใครที่มีไอเดีย มีฝีมือ และช่างคิดสักหน่อย ก็ยังถือว่าตลาดโปสการ์ดนี้ยังไม่ตันแน่นอน” เจ้าของผลงานกล่าว

ใครมีไอเดียสร้างเอกลักษณ์ใหม่ ๆ บางที “โปสการ์ด” อาจจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ได้


ศิริโรจน์ ศิริแพทย์

credit : www.sanook.com

ป้ายกำกับ: , , , ,

คุกกี้แฟนซี เงินดีเทศกาลปีใหม่


งาน ฝีมือบางชนิดสามารถนำมาผนวกใช้ได้หลายด้าน แม้แต่ในเรื่องของอาหารและขนม ที่หากรู้จักที่จะนำฝีมือมาใส่ไอเดีย มาสร้างสรรค์ ก็สามารถที่จะสร้างอาหารการกินรูปแบบเก๋ ๆ สร้างกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

อย่างเช่น “คุกกี้แฟนซี” ของ “สิริพร ศรีเพ็ง” รายนี้...


สิริ พรเล่าว่า ไม่ได้เรียนจบมาทางด้านการทำอาหารหรือเบเกอรี่ ทว่าเรียนจบมาทางด้านนาฏยศิลป์จากคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบงานประดิษฐ์ งานเย็บปักถักร้อย ควบคู่ไปกับการทำขนม จึงพยายามศึกษาและลองหัดทำด้วยตัวเอง จนเริ่มมีความชำนาญ กับ “คุกกี้แฟนซี” นี้ก็ยึดเป็นอาชีพเสริมมาได้ 2 ปีแล้ว โดยยามว่างจากงานประจำที่เกี่ยวกับธุรกิจค้าขายวัสดุก่อสร้างก็จะทำขาย โดยเฉพาะในช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่ โดยจะนำไปฝากขายตามร้านจำหน่ายอุปกรณ์เบเกอรี่และร้านขายของฝาก

ใน ตอนแรกตั้งใจจะทำเป็นแค่ขนมทานเล่นจำพวกแครกเกอร์เท่านั้น แต่ต่อมามีร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่แนะนำว่าจริง ๆ แล้วคุกกี้แฟนซีของเธอสามารถขายในกลุ่ม “วัสดุตกแต่งเบเกอรี่” ได้ด้วย เพราะในช่วงปีใหม่ร้านเบเกอรี่ส่วนใหญ่จะผลิตเค้กจำนวนมาก ทำให้บางครั้งการตกแต่งหน้าเค้กด้วยการวาดหน้าเค้กเพียงอย่างเดียวอาจไม่ทัน -ไม่โดนความต้องการของลูกค้า ก็อาจหันมาใช้คุกกี้แฟนซีเหล่านี้ประดับแทน

เจ้า ของไอเดียบอกว่า นอกจากจะใช้ประดับหน้าเค้กได้แล้ว ร้านไอศกรีม ร้านน้ำแข็งไส ก็นิยมใช้คุกกี้แฟนซีประดับตกแต่งด้วยเช่นกัน “สินค้าก็เลยขายได้ทั้ง 2 กลุ่ม คือ ขนมทานเล่น กับวัสดุตกแต่งเบเกอรี่”

สำหรับ ทุนเบื้องต้นในการทำอาชีพนี้นั้น เธอบอกว่า ใช้เงินลงทุนน้อยมาก หากไม่ต้องลงทุนในเรื่องของอุปกรณ์ชิ้นใหญ่อย่างเตาอบอุตสาหกรรม โดยเงินลงทุนนั้นอยู่ที่ไม่เกิน 1,000 บาท ส่วนทุนวัตถุดิบต่อกำลังการผลิตที่ 300 ชิ้น ใช้เงินทุนในส่วนนี้เพียงแค่ไม่เกิน 200 บาท

ขณะ ที่เรื่องรายได้-การจำหน่ายเธอบอกว่า จากการที่ทำจำหน่ายมาเป็นเวลา 2 ปี เฉพาะในช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่ถือว่ารายได้ค่อนข้างดี ลงทุนค่อนข้างน้อย ใช้เวลา ฝีมือ และไอเดียในการคิดหน้าคุกกี้เป็นหลัก โดยราคาที่จำหน่ายอยู่นั้น ราคาขายปลีก 20 ชิ้น 35 บาท และราคาขายส่งอยู่ที่ 100 ชิ้น 100 บาท

อุปกรณ์ที่ใช้
  • ก็มีเพียงถาดสำหรับตากคุกกี้

  • ชามหรือกะละมังใส่ส่วนผสมหน้าคุกกี้ และที่ตีส่วนผสม


ซึ่งส่วนผสมที่ใช้ในการผลิตครีมสำหรับวาดหน้าคุกกี้ มี

  • ไข่ขาว (ไข่ไก่ขนาด กลาง) 3 ฟอง

  • น้ำตาลไอซิ่ง 500 กรัม

  • มัลติฟลายเออร์หรือศัพท์ที่คนทำเบเกอรี่รู้จักดีในชื่อย่อว่า เอส.พี. ประมาณ 1 ช้อนชา

  • คุ้กกี้

  • สีผสมอาหารชนิดผง


“ส่วน ใหญ่จะเลือกใช้คุกกี้หรือขนมปังกลมชนิดเค็ม เพราะเนื่องจากเนื้อครีมที่ใช้ทำหน้าคุกกี้มีรสหวานอยู่แล้ว หากใช้ขนมปังหรือคุกกี้ที่มีรสหวานจะทำให้คนทานรู้สึกว่าหวานหรือเลี่ยนจน เกินไป จึงใช้คุกกี้ที่มีรสเค็มเป็นตัวตัดความหวานของหน้าคุกกี้”


ขั้นตอนการทำ
  • เริ่มจากนำไข่ไก่ 3 ฟองมาตอกออกและคัดเฉพาะไข่ขาวมาใช้งานเท่านั้น

  • จากนั้นนำน้ำตาลไอซิ่งที่เตรียมไว้ในจำนวน 500 กรัมผสมลงไปในไข่ขาว และใส่มัลติฟลายเออร์ หรือ เอส.พี.ลงไปประมาณ 1 ช้อนชา

  • หยดสีผสมอาหารลงไปในส่วนผสมข้างต้นเพียงเล็กน้อย

  • จาก นั้นใช้ที่ตีส่วนผสมตีหรือคนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อครีมที่ต้องการ หากต้องการสีอื่นก็ให้ทำตามส่วนผสมนี้ เพียงแต่เปลี่ยนสีและกลิ่นที่ใช้ตามต้องการ (สาเหตุที่ใช้สีผสมอาหารชนิดผงนั้น เจ้าของสูตรบอกว่า เพื่อไม่ให้เนื้อครีมมีส่วนผสมที่เป็นน้ำมากเกินไป จนทำให้ความเข้มข้นและความหนืดของเนื้อครีมลดลง)

  • นำเนื้อครีม ที่ได้มาอัดใส่กรวยสำหรับวาดหน้าเค้ก โดยอาจจะใช้ถุงพลาสติกที่ม้วนจนเป็นรูปกรวยแทนการใช้กรวยสำเร็จรูป เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุนในเรื่องวัสดุ

  • เมื่อนำเนื้อครีมใส่กรวยวาดหน้าเค้กแล้ว ก็เริ่มทำการหยอดให้เป็นรูปตามที่จินตนาการลงบนคุกกี้

  • พอ วาดหน้าคุกกี้เสร็จแล้วก็นำไปตากแดดโดยใช้เวลาตากประมาณ 1 วัน หรือหากอบคุกกี้ในเตาอบอุตสาหกรรม ก็ให้ใช้ความร้อนประมาณ 180 องศาฟาเรนไฮต์ โดยใช้เวลาอบประมาณ 10 นาที

  • จากนั้นผึ่งให้เย็นสักครู่ ก่อนจะนำบรรจุถุง



“ส่วน ใหญ่ที่นิยมตอนนี้จะเน้นไปที่ตัวการ์ตูนน่ารักสีสันสดใส ส่วนความละเอียดหรือรูปแบบขึ้นอยู่กับคนทำเป็นสำคัญ เรียกได้ว่าไอเดียไม่มีตัน อยู่ที่ว่าใครจะคิดรูปแบบไหนออกมา ยิ่งใช้หีบห่อบรรจุภัณฑ์สวยงามก็จะยิ่งทำให้สินค้ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีก” ...เจ้าของสูตรคุกกี้แฟนซีกล่าว

ปัจจุบัน สิริพร ศรีเพ็ง ทำ “คุกกี้แฟนซี” อยู่ที่ 45/1 หมู่ 3 อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ใครอยากจะติดต่อก็ โทร.08-7070-0039 ซึ่งเจ้าตัวบอกทิ้งท้ายว่า อาชีพนี้ไม่ยาก ใครสนใจก็ลองฝึกหัดทำตามขั้นตอนที่กล่าวมา...

อาจจะเป็นรายได้หลัก-รายได้เสริมที่ดีในช่วงปีใหม่นี้ !!.

ศิริโรจน์ ศิริแพทย์/จเร รัตนราตรี

credit : www.sanook.com

ป้ายกำกับ: , , ,

‘มันทิพย์-เผือกทิพย์’ อร่อยร้อน ๆ รับลมหนาว

อาหารการกินยอดนิยมบางประเภทจะเปลี่ยนไปตามสภาพอากาศ อย่างเช่นในฤดูร้อนพวกหวานๆ เย็นๆ อย่างไอศกรีม ลอดช่องน้ำกะทิ จะขายดี ฤดูฝนอาหารต้านไข้หวัด เช่น น้ำมะตูมอุ่นๆ หอมหวานชื่นใจ ก็ไปได้สวย และในฤดูหนาวอาหารร้อนๆ ก็จะได้รับความนิยม แต่วันนี้ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลการขายอาหารที่เหมาะทั้งกับช่วงฤดูหนาวนี้ และทุกๆ ฤดู มาบอกกล่าวเล่าสู่กัน...นั่นก็คือ “มันทิพย์-เผือกทิพย์”


นงค์เยา ศิลาทอง หรือ “เจ๊ต้อย” อายุ 48 ปี เจ้าของร้านขาย “มันทิพย์-เผือกทิพย์” และกล้วยย่าง เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนขายกล้วยหักมุก-กล้วยน้ำว้าปิ้ง และกล้วยทับ ที่ท่าน้ำบางกอกน้อย ขายมานานประมาณ 30 ปี โดยสืบทอดมาจากรุ่นคุณแม่ ส่วนมันทิพย์-เผือกทิพย์นั้น ไปซื้อสูตรมาจากเพื่อนซึ่งทำขายอยู่ที่สะพานหัน นำมาดัดแปลงปรับปรุงสูตรใหม่เพื่อให้เป็นสูตรเฉพาะของตัวเอง จากนั้นย้ายมาขายอยู่ที่หน้าร้านขายยาเพชรรัตน์เภสัช ตรงข้ามโรงพยาบาลศิริราช เพราะทำเลแถวนี้ยังไม่มีคนขาย

“ มันทิพย์-เผือกทิพย์ เป็นเจ้าเดียวที่มีน้ำจิ้ม ช่วยเพิ่มรสชาติความหวานมันยิ่งขึ้น จะถูกใจคนที่ชอบทานหวาน น้ำจิ้มจะใช้หัวกะทิล้วนๆ เคี่ยวกับน้ำตาล เสร็จแล้วก็นำมันทิพย์-เผือกทิพย์ทับพอแบนๆ ไปแช่ เพื่อให้น้ำกะทิซึมเข้าเนื้อ ถ้าคนไม่ชอบหวานมากก็ทานแบบกลม ๆ ที่ปิ้งไฟอ่อนๆ หอมเหลือง ของเราจะรสชาติกลมกล่อมไม่เหมือนใคร ทำจากมันสำปะหลังล้วนๆ ไม่ได้ใช้แป้งและมะพร้าวขูดผสมเลย รับรองว่าได้เนื้อมันอร่อย เต็มๆ คำ”

ของทุกอย่างเจ๊ต้อยจะทำสำเร็จ มาจากบ้าน แล้วมาย่างขายที่ร้าน แต่ละวันจะทำมันทิพย์ 20 กก. เผือกทิพย์ 10 กก. ซึ่งในช่วงเทศกาลกินเจจะยิ่งขายดีมากเป็นพิเศษ ต้องทำของเพิ่มอีกเท่าตัว

เจ๊ต้อยบอกว่าจะมีลูกค้าขาประจำ-ขาจรแวะ เวียนมาอุดหนุนตลอด ซึ่งนอกจากเพราะติดใจรสชาติ-คุณภาพแล้ว คนขายก็ใจถึง อย่างมันทิพย์-เผือกทิพย์ขาย 8 ลูก 20 บาท ก็มักจะแถมให้ลูกค้าอีกคนละ 1- 2 ลูก ส่วนกล้วยปิ้งก็จะคัดเอาลูกใหญ่ได้ขนาดมาขาย ทำให้ไม่ฝาด หวาน หอม อร่อย

ทุกวันจะจัดร้าน ขายตั้งแต่ 7 โมงเช้า ขายไปจนถึง 4 โมงเย็น

อุปกรณ์ในการขาย ก็มี... เตาแก๊ส, ลังถึง, กะละมังเคลือบ (ใช้แทนเตาถ่านเวลาปิ้ง), ตะแกรง, มีด, เขียง, ที่คีบ, ถาดสเตนเลส, ถังน้ำ, ถุงมือ, ส้อม, ไม้พาย, ผ้าขาวบาง, ไม้จิ้ม, ไม้ทับ และอุปกรณ์อื่นๆ ที่สามารถหยิบฉวยได้จากในครัว

ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ในการทำขายแต่ละวัน ก็มี...มันสำปะหลังนึ่งสุกบดละเอียด 1 กก., ข้าวโพดต้ม 4-5 ฝัก, น้ำตาลทราย 2 1/2 ขีด (250 กรัม), หัวกะทิ 3 ขีด (300 กรัม ) และเกลือนิดหน่อย



ขั้นตอนการทำ “มันทิพย์”เริ่ม จากนำมันสำปะหลังมาหั่นเป็นท่อนๆ ปอกเปลือกออก ผ่าเอาแกนกลางหรือไส้ออกทิ้งไป เฉาะเป็นชิ้นๆ ขนาดไม่ใหญ่และเล็กจนเกินไป แล้วนำไปล้างน้ำให้สะอาด ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ ใส่น้ำในลังถึงประมาณครึ่งหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ ใช้ความร้อนค่อนข้างสูง เมื่อน้ำเดือดพล่านนำมันสำปะหลังที่เตรียมไว้เรียงใส่ลังถึงชั้นบน ซึ่งรองไว้ด้วยผ้าขาวบาง ปิดฝาให้สนิท แล้วค่อยๆ ลดไฟลงปานกลาง นึ่งนานประมาณ 25-30 นาที จนมันสำปะหลังสุก แล้วจึงเอามาตำในขณะที่ยังร้อนๆ อยู่ โดยใช้ไม้พาย และช้อนส้อมคุ้ยให้ซุย เสร็จแล้วหั่นข้าวโพดต้มใส่ตามลงไปผสมคลุกเคล้ากับมัน ทำการนวดผสมให้เข้ากัน พักไว้

จากนั้นนำหัวกะทิผสมกับน้ำตาลและ เกลือ นำขึ้นตั้งไฟเคี่ยว เสร็จแล้วค่อยๆ เทใส่ในมันนึ่งกับข้าวโพดที่เตรียมเอาไว้ แล้วทำการนวดอีกครั้ง เมื่อนวดเข้ากันดีแล้วตั้งพักไว้ประมาณ 15-20 นาที เพื่อให้ส่วนผสมเข้ากันดี

ขั้นตอนต่อไปคือการนำมาปั้นให้เป็นลูก กลมๆ พอประมาณ กะให้ใหญ่กว่าลูกปิงปองนิดหน่อย เวลาขายก็จะนำไปปิ้งด้วยไฟอ่อนๆ อีกที พอเหลืองหอม เท่านี้ก็พร้อมขายได้เลย

“เคล็ด ลับสำคัญในการทำอยู่ที่มันสำปะหลัง ต้องเลือกหัวใหญ่ๆ เพราะเนื้อจะอร่อยกำลังดี และการนึ่งมันสำปะหลังจะต้องต้มน้ำให้เดือดพล่านเสียก่อนจึงนำขึ้นนึ่ง เพราะมันสำปะหลังถ้านึ่งนานมันจะยิ่งเกาะเหนียว ทำให้ไม่อร่อย” เจ๊ต้อยบอกเคล็ดลับ

และสำหรับ “เผือกทิพย์” การทำก็ใช้หลักการเดียวกันกับมันทิพย์

ใคร สนใจ “มันทิพย์-เผือกทิพย์” สูตรนี้ ร้านของเจ๊ต้อยอยู่ตรงข้ามโรงพยาบาลศิริราช หน้าร้านขายยาเพชรรัตน์เภสัช หาไม่เจอก็โทรฯสอบถามเจ๊ต้อยได้ที่ โทร.08-9457-0207

นี่ก็เป็นอีกช่องทางทำกินหนึ่งที่สามารถทำได้ง่าย ๆ กำไรงาม ต้อนรับฤดูหนาว และทุกฤดู

คู่มือลงทุน...มันทิพย์-เผือกทิพย์
- ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 4,000 บาท
- ทุนวัตถุดิบ ขึ้นอยู่กับปริมาณการทำ
- รายได้ ขาย 8 ลูก 20 บาท
- แรงงาน 1 คน
- ตลาด ย่านชุมชนทั่วไป
- จุดน่าสนใจ กำไรดี, ทำง่าย-ขายคล่อง


เชาวลี ชุมขำ - สุพรรษา อยู่จันนา รายงาน / จเร รัตนราตรี ภาพ

credit : www.sanook.com

ป้ายกำกับ: , , , ,

‘โมเสกกระดาษ’ งานไอเดียทำเงินรับปีใหม่



เข้า สู่ปลายปีก็ใกล้เทศกาลมอบของขวัญปีใหม่ “งานประดิษฐ์” ก็เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่จะขายดีช่วงปลายปี ซึ่งวันนี้ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” ก็มีงานประดิษฐ์เก๋ ๆ อีกรูปแบบมานำเสนอ กับงาน “โมเสกจากกระดาษ”


ปุก-ประภาศรี ธนีภาพ อายุ 43 ปี เป็นเจ้าของร้าน “ล้านกาปุก” ซึ่งเป็นร้านที่ขายของเกี่ยวกับงานประดิษฐ์ และยังเป็นผู้ที่คิดค้นการทำงาน “โมเสกจากกระดาษ” ซึ่งทำมานานกว่า 2 ปี โดยเจ้าตัวเล่าว่า หลังจากเรียนจบปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ก็เข้าทำงานรับราชการ เป็นผู้ควบคุมความประพฤติ

งาน นี้คงเป็นงานที่เหนื่อยและหนักเกินไปสำหรับปุก ทำได้เพียง 3 เดือน ปุกก็เริ่มมองหางานใหม่ จนได้งานที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ทำเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จึงตัดสินใจลาออกจากอาชีพรับราชการ โดยระหว่างที่ทำงานบริษัทอยู่นั้น ด้วยความที่เป็นคนที่ชอบเรียนรู้ ประกอบกับชอบงานด้านการประดิษฐ์ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็ไปลงเรียนอบรมด้านการประดิษฐ์ และหลังจากทำงานบริษัทอยู่ 2 ปี ก็ต้องออกจากงาน เพราะพิษเศรษฐกิจตกต่ำ

หลังออกจากงานก็มานั่ง ว่างอยู่บ้านได้ระยะหนึ่ง ก็มีโอกาสได้เข้าไปเป็นวิทยากรของเกษตรศาสตร์ สอนศูนย์ กศน.สายอาชีพที่เขตราชเทวี จากนั้นก็ได้เป็นวิทยากรสอนทำดอกไม้ประดิษฐ์จากดินให้กับทหารผ่านศึกที่โรง พยาบาลพระมงกุฎ และด้วยความที่เป็นคนไม่ชอบอะไรซ้ำซากจำเจ เป็นคนที่มีจินตนาการสูง ปุกจึงพัฒนางานที่เป็น เอกลักษณ์ของตัวเอง ขึ้นมาเรื่อย ๆ จนมาเป็น “งานโมเสกจากกระดาษ” ซึ่งเกิดจากการที่เธอได้เห็นฝาผนังในห้องน้ำที่เป็นงานโมเสกที่ทำ จากกระเบื้อง มีลวดลายต่าง ๆ สวยงาม

“ก็เห็นว่ามันน่าจะ นำมาดัดแปลงประยุกต์ใช้กับวัสดุที่ไม่แพงและออกมาสวยได้ จึงลองคิดดู ก็เลยได้ออกมาลงตัวที่การใช้กระดาษเป็นวัสดุ แรก ๆ งานส่วนใหญ่จะเป็นลายเส้นธรรมดา จากนั้นก็ค่อย ๆ เรียนผิดเรียนถูกพัฒนางานมาเรื่อย ๆ จนมาเป็นงานโมเสกอย่างที่เห็นในปัจจุบัน”


คน ที่คิดจะทำงานประดิษฐ์ ปุก บอกว่า นอกจากจะต้องเป็นคนที่ชอบในงานประดิษฐ์แล้วจำเป็นต้องมีไอเดีย มีจิตนาการ มีความคิดสร้างสรรค์ไม่หยุดนิ่ง ต้องคิดงานใหม่ ๆ ออกมาตลอดเวลา ถึงจะได้ลูกค้าที่หลากหลายกลุ่ม และก็จะอยู่รอด

สำหรับการทำโมเสก จากกระดาษ อุปกรณ์นั้นมีดังนี้คือ กระดาษแข็ง (ใช้แบบที่หนาที่สุด), กระดาษชานอ้อย, สีอะคริลิก, กาวลาเท็กซ์, ครีมสร้างลายนูน, ยูรีเทรนสูตรน้ำสำหรับเคลือบเงา, พู่กันระบายสี, ไดร์เป่าผม

อุปกรณ์ทั้งหมดนี้สามารถหาซื้อได้จากร้านขายอุปกรณ์เครื่องเขียนทั่วไป

การทำ

> ขั้นแรกเริ่มจากการคิดว่าจะทำอะไร อาทิ กล่องใส่ทิซชู ก็นำกระดาษแข็งชนิดที่หนาที่สุดมาทำการตัดและขึ้นรูปโดยใช้กาวลาเท็กซ์เป็น ตัวยึดให้เป็นชิ้นงานที่ต้องการ

> จากนั้นตัดกระดาษชานอ้อยให้เป็นชิ้น ๆ จะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม วงกลม หรือสามเหลี่ยม ขนาดจะเล็กหรือใหญ่ ตัดตามต้องการโดยใช้จินตนาการ แล้วก็นำกระดาษชานอ้อยที่ตัดเสร็จแล้วนำไปติดบนชิ้นงานที่ขึ้นรูปไว้ด้วยกาว ลาเท็กซ์

> การติดกระดาษแต่ละชิ้นต้องให้มีความห่างกันพอสมควร ไม่ควรติดกันจนแน่นเกินไป เมื่อติดเสร็จเรียบร้อยก็ทิ้งไว้ให้แห้ง จากนั้นใช้เนื้อครีมสร้างลายนูนทำการยาลงไปตามแนวร่องของกระดาษ

“วิธี การยาแนวก็ไม่ยาก ใช้นิ้วป้ายครีมสร้างลายนูนแล้วก็ทาลงไปตามแนวร่องให้ทั่ว โดยไม่ลงหนาจนเกินไป การยาแนวนั้นจะต้องยาให้ดีไม่ให้เกิดฟองอากาศ ถ้าเกิดฟองอากาศก็ยาทับให้แน่นเพื่อความสวยงาม”

> เมื่อลงเนื้อครีมสร้างลายนูนเสร็จก็ทำการลงสีตามความต้องการได้ทันที ไม่ต้องรอให้ครีมแห้ง ในกรณีที่ลงครีมไม่หนามาก แต่ถ้าลงเนื้อครีมหนาเกินควรทิ้งไว้ให้แห้งก่อนลงสีประมาณ 30 นาที หลังจากสีแห้งก็ทำการเคลือบเงาด้วยยูรีเทรนสูตรน้ำ เท่านี้ก็เสร็จ

> รูปหรือลวดลายต่าง ๆ สามารถใช้สีวาดลงไปก็ได้ หรือใช้รูปภาพติดแทนก็ได้

“การทำโม เสกจากกระดาษนั้นสามารถทำได้กับหลายวัสดุ ไม่ว่าจะเป็นไม้ยาง, ไม้อัด, กระจก หรือแม้แต่ทำบนเทียนไข วิธีการทำก็เหมือนทำบนกระดาษ เพียงแต่เราเปลี่ยนวัสดุ” ปุกบอก


งานโมเสกจากกระดาษเป็นงาน ที่ทำต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าอื่น ๆ ได้ด้วย อย่างเช่น กรอบรูปที่เรียบ ๆ ธรรมดา ถ้าลงเทคนิคการทำโมเสกจากกระดาษเข้าไป กรอบรูปนั้นก็จะมีราคาที่เพิ่มขึ้นมาทันที

ผลงานของปุกกับงาน โมเสกจากกระดาษนั้น มีมากมายหลากหลาย มีตั้งแต่ของขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นที่ติดตู้เย็น กรอบรูป กล่องใส่ของ นาฬิกา ที่แขวนผนัง และอื่น ๆ โดยมีราคาตั้งแต่ 40-750 บาท ราคาก็จะขึ้นอยู่กับขนาดและความยากง่ายของลวดลายในแต่ละชิ้น

ใคร สนใจงาน “โมเสกจากกระดาษ” ของร้านล้านกาปุก ร้านนี้อยู่ที่ห้างแฟชั่นไอส์แลนด์ ชั้น 3 โซนที่ขายงานประดิษฐ์ รับสั่งทำตามออร์เดอร์ หรือสนใจจะติดต่อปุกให้ไปสอนการทำงานประดิษฐ์ งานฝีมือ ก็โทรศัพท์สอบถามได้ที่ โทร.08-1398-3714.


บดินทร์ ศักดาเยี่ยมยงค์ – พิศศมัย กิจเจริญ

credit : www. sanook.com

ป้ายกำกับ: , , ,

ผักเดลิเวอรี่ ขายถึงที่...ทั้งปลีก-ส่ง



ยุคนี้ร้านขายของชำ-ขายผักค่อย ๆ ทยอยหายไป ขณะเดียวกันก็มี “รถปิกอัพขายผัก” และขายของประเภทเครื่องปรุงอาหารต่าง ๆ เกิดขึ้นมาแทนที่ โดยตระเวนขายไปตามแหล่งชุมชนที่อยู่อาศัยทั่วไป ซึ่งวันนี้ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลการทำอาชีพค้าขายรูปแบบนี้มาเล่าสู่กันฟัง...

ทนงชัย คำผุย อายุ 30 ปี เป็นอีกหนึ่งคนที่ยึดอาชีพเป็นพ่อค้าขายผักแบบเร่ขายด้วยรถปิกอัพ โดยเจ้าตัวบอกว่า ทำอาชีพนี้มาประมาณ 2 ปีแล้ว ก่อนหน้านั้นตนทำงานก่อสร้างมาราว 7 ปี หลังจากที่ทำงานเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งน้องชายก็แนะนำให้มาทำอาชีพขายผักส่ง แบบเร่ขาย เพราะเขาทำอยู่ก่อนแล้ว และรายได้ค่อนข้างดี

“พี่น้องผม 7 คน ทำแบบนี้ 6 คนแล้ว และผมยังแนะนำให้เพื่อนทำแบบนี้เช่นเดียวกัน”

ทน งชัยเริ่มต้นธุรกิจดังกล่าวนี้ด้วยการดาวน์รถด้วยเงิน 39,000 บาท และจะต้องผ่อนส่งเดือนละ 7,000 บาท โดยใช้เวลาส่งรถ 6 ปี เมื่อซื้อรถมาแล้วก็มาต่อส่วนของโครงสร้างรถเพิ่มเติม เช่น ต่อแผง ซื้อตะกร้า กิโล และอุปกรณ์เพิ่มเติมอีกประมาณ 1,000 บาท

ในการ ขายแต่ละวันจะลงทุนผักวันละ 7,000-10,000 บาท แล้วแต่ออร์เดอร์ของลูกค้าว่ามากน้อยเท่าไหร่ ซึ่งตนเองจะเน้นขายส่งตามร้านอาหาร โดยหากขายผักหมดจะได้กำไรหลังหักทุนวันละ 1,500-1,600 บาท

นอก เหนือจากค่าใช้จ่ายเรื่องผักสดแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายในเรื่องค่าน้ำมันอีก โดยในแต่ละวันจะวิ่งรถ 70-80 กก. เติมน้ำมันวันละ 300-350 บาท โดยจะวิ่งขายอยู่ในกรุงเทพฯ ไปตามย่านบางบัว เรือนจำคลองเปรม และตลาดประชานิเวศน์ แต่หลัก ๆ แล้วจะวิ่งส่งตามร้านอาหารทั่วไป ประมาณวันละ 20-25 ร้าน ซึ่งเป็นเจ้าประจำกัน

การขายผักสดแบบขายส่งจะส่งทุกอย่าง ทั้งที่ร้าน อาหารตามสั่ง ร้านข้าวแกง ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านส้มตำ สวนอาหาร ซึ่งของที่ร้านเหล่านี้ต้องใช้ อาทิ ผักคะน้า กวางตุ้ง ผักกาดขาว กะหล่ำปลี มะเขือเทศ มะเขือสีดา มะเขือเปราะ ถั่วฝักยาว ฟักทอง หอมใหญ่ ต้นหอม ผักชี ข้าวโพด แตงล้าน แตงกวา พริกขี้หนูแห้ง หัวไชเท้า มะระ มะละกอ ผักกาดหอม ผักกะเฉด ผักบุ้งจีน ผักบุ้งไทย มะละกอดิบ กระเทียม มะนาว ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด หน่อไม้ ฯลฯ ซึ่งผักดังกล่าวนี้จะต้องเป็นของสด ใหม่ และต้องขายให้หมดทุกวัน

“ทุกเช้ามืดของทุก วันจะไปซื้อผักสดที่ตลาดสี่มุมเมือง แต่ถ้าช่วงไหนที่ผักราคาแพงเพราะมีของน้อยต้องไปซื้อเตรียมไว้ตั้งแต่ ตอนกลางคืน เพราะตอนเช้าจะยิ่งแพงมากหรือหมด ถ้าช่วงไหนที่ผักราคาถูก มีเยอะ ก็ไปซื้อตอนเช้ามืดได้ตามปกติ” ...เป็นอีกเคล็ดลับสำหรับอาชีพนี้

ทน งชัยบอกอีกว่า การซื้อผักจากแหล่งที่มีชาวสวนนำมาขายเองเลย ไม่ต้องไปซื้อต่อจากยี่ปั๊วขายผักอีกที จะเหมาะกับการนำไปขายส่ง แต่ก็มีบางคนที่ซื้อจากยี่ปั๊วแล้วนำไปเร่ขายรายย่อยทั่วไป ก็จะต้องขายในราคาสูงขึ้นหน่อย แต่ส่วนใหญ่คนที่ซื้อก็ไม่ค่อยซีเรียสมาก เพราะเป็นการซื้อไปทำกับข้าวกินเอง ไม่ใช่ค้าขายที่ต้องห่วงเรื่องทุน

อย่างไรก็ตาม ตนเองขายส่งตามร้านอาหาร ต้องขายในราคาถูก แต่ก็อาศัยว่าขายได้จำนวนมาก ไม่ต้องไปเร่ขายปลีกที่จะต้องใช้เวลามากกว่า

เมื่อ ซื้อผักมาแล้ว ก็จะมาจัดผักตามออร์เดอร์ของร้านค้าที่สั่งไว้ ประมาณ 10.00 น. ก็เรียบร้อย จากนั้นก็จะตระเวนส่งตามร้านเจ้าประจำ ส่วนที่เหลือก็จะตระเวนขายตามย่านชุมชน เช่นย่านบางบัว หรือเรือนจำคลองเปรม ซึ่งจะมีแม่ค้าที่ทำอาหารส่งในเรือนจำเป็นลูกค้า ผักบางส่วนจะแบ่งใส่ถุงขายถุงละ 10 บาท ขายตามเส้นทางที่ขับรถผ่าน ขายลูกค้าขาจร อย่างช่วงเย็นจะขับไปขายที่ตลาดประชานิเวศน์ ขายพวกข่า ใบมะกรูด ข้าวโพด พริกหนุ่ม พริกขี้หนูแห้ง หอมแดง หอมแขก หัวไชเท้า ผักกาดขาว มะนาว ผักกะเฉด ฟัก กะเพรา โหระพา ฯลฯ

“หลักการตั้งราคา ถ้าขายผักในราคาส่ง จะตั้งกำไรประมาณ 5-10 บาทต่อ กก. ไม่เกินนี้ และบางช่วงถ้าผักชนิดไหนราคาแพงมากก็อาจจะยอมขายเท่าทุน แต่จะไปบวกกำไรกับสินค้าอย่างอื่นมาถัวกัน”

ทนงชัยยังบอกถึงหลักการ หาลูกค้าด้วยว่า ตอนแรกต้องซื้อของมาขายไม่มากก่อน จากนั้นก็ตระเวนหาลูกค้าไปเรื่อย ๆ ต้องเข้าไปแนะนำตัวเอง บอกราคาผักในราคาส่ง เมื่อลูกค้ารับแล้วก็ค่อย ๆ รับผักมาส่งตามออร์เดอร์

“และต้องรับผิดชอบลูกค้าด้วยการส่งของตรงเวลา ขายผักในราคายุติธรรม และขายของดี เพื่อให้ลูกค้าไว้ใจเป็นลูกค้ากันตลอดไป” ...พ่อค้าขายผักแบบส่งถึงที่หรือ “เดลิเวอรี่” กล่าว

ใคร สนใจจะเป็นลูกค้ารับซื้อผักแบบขายส่งจากทนงชัย ก็ติดต่อได้ที่ โทร.08-9290-2231 ส่วนใครที่ยังไม่มีอาชีพ กับ “ผักสดเดลิเวอรี่” อาชีพนี้ขายได้ทั้งแบบขายปลีก ขายส่ง หรือทั้งสองแบบควบคู่กัน เป็นอาชีพอิสระ ไม่มีเจ้านาย เพียงแต่ต้องมีความรับผิดชอบต่อลูกค้า ซึ่งผู้ที่ยึดอาชีพนี้ส่วนใหญ่ต่างก็รายได้ดีกันทั้งนั้น

ฝากไว้ให้พิจารณากันอีกหนึ่งอาชีพ!

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน/จเร รัตนราตรี : ภาพ

ที่มา www.sanook.com

ป้ายกำกับ: , , , ,

‘พาย-ทาร์ส’ ชิ้นจิ๋ว ๆ กำไรแจ๋ว

ขนมอบ อย่าง “พาย” และ “ทาร์ส” แม้ว่าจะเป็นขนมชิ้นเล็ก ๆ ที่ชื่อไม่คุ้นหูคนไทย แต่ก็คุ้นลิ้น มีผู้ให้ความสนใจซื้อหารับประทานกันมาก ใคร ที่มีฝีมือในการทำให้รสชาติอร่อยก็จะเป็นอีกอาชีพทำเงินได้ดี ทั้งในลักษณะอาชีพหลักหรืออาชีพเสริม วันนี้ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” ก็มีเรื่องราวขนมอบประเภทนี้มานำเสนอกัน...

ขนิษฐา สวัสดิ์เวช หรือ คุณน้อง เคย ทำงานเป็นพนักงานบริษัทเอกชนมา 8 ปี และช่วงปี 2540 ก็ได้ลาออกจากงานบริษัท เพื่อที่จะมาทำขนมขาย อาทิ ขนมปังกระเทียม ขนมเปี๊ยะ พาย ข้าวตัง เนื่องจากมีใจรัก และพอมีฝีมือ-มีพรสวรรค์ทางนี้อยู่ และก่อนจะทำขายจริงจังยังได้ไปเรียนกับคนรู้จัก ไปเรียนเพิ่มเติมก่อนด้วย

“ช่วง ปี 2542-2543 ยอดสั่งขนมดีมาก ทำกันแทบไม่ทัน มีคนมารอรับขนมถึงหน้าบ้านเลย ไม่จำเป็นต้องไปหาที่ขายเลย ทำเท่าไรก็ไม่พอ อาจเป็นเพราะเศรษฐกิจช่วงนั้นค่อนข้างดีก็เป็นไปได้”

คุณน้องบอกต่อ ไปว่า พอปี 2544 เป็นต้นมายอดขายก็ลดลงไปมาก จนต้องให้คนงานที่จ้างมาช่วยออกจากงานถึง 10 คน เพราะมีคนหันมาทำขนมขายกันมากขึ้น และที่สำคัญช่วงนั้นทำอะไรก็มักจะโดนลอกเลียนแบบ จึงหยุดทำไปสักระยะหนึ่ง ประคองตัวให้รอดพ้นวิกฤติไปให้ได้ก่อน

ต่อมาก็มาเริ่มต้นใหม่ อีกครั้ง เป็นการเริ่มต้นด้วยตนเอง โดยทำที่บ้าน เน้น “พายสับปะรด” และ “ทาร์สสับปะรด” เป็นหลัก ทำเป็นชิ้นเล็ก ๆ เน้นจับลูกค้ากลุ่มร้านกาแฟ โดยหาลูกค้าด้วยตนเอง ไม่นั่งรอให้คนมาสั่งที่บ้านเหมือนเดิม

ลองมาดูสูตรการทำพายที่เรียกว่า “พายเรือ” และ “พายดาว” ที่คุณน้องให้สูตรกัน.....

เริ่ม ต้นที่ “เนื้อแป้ง” ใช้แป้งสาลี 250 กรัม, น้ำตาลไอซ์ซิ่ง 50 กรัม, ผงฟู 1/2 ช้อนชา, เกลือ 1/2 ช้อนชา, เนยมาการีน 150 กรัม, น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย และกลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ เริ่มที่ ร่อนแป้งสาลี, น้ำตาลไอซ์ซิ่ง 50 กรัม, ผงฟู 1/2 ช้อนชา และเกลือ ให้เข้าด้วยกัน จากนั้นใส่เนยมาการีน และน้ำเปล่าให้เข้ากันด้วย และใส่กลิ่นวานิลลาลงไป แล้วใช้มือนวดให้แป้งเข้าด้วยกัน จากนั้นนำแป้งที่ผสมดีแล้ววางลงบนโต๊ะ แล้วใช้ที่นวดแป้งรีดให้เป็นแผ่นใหญ่ ๆ บาง ๆ

“ตัดแป้งเป็นแผ่น ขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัส ใช้ไม้บรรทัดฟุตเหล็กเป็นตัวหลัก ตัดเป็นแนวนอน และแนวตั้ง ถ้าเป็นพายเรือ ตัดเพียงแค่แผ่นสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่ถ้าเป็นพายดาว ให้ตัดด้านมุมของแผ่นแป้งเป็นรูปกากบาท เพื่อสะดวกเวลาที่จะพับออกมาเป็นรูปดาว”

วางไส้สับปะรดลงบนแป้งพาย แล้วพับเป็นรูปดาว หรือรูปเรือก็ได้ ทาไข่แดงบนหน้าพายนิดหน่อย จากนั้นนำเข้าตู้อบ ใช้ความร้อนอบ 150 องศาฯ อบประมาณ 5 นาที เท่านี้ก็เรียบร้อย

“ไส้สับปะรดนั้น ให้ซื้อสำเร็จรูปจากโรงงาน ราคา กก. ละไม่เกิน 25 บาท”


ส่วน “ทาร์สสับปะรด” ใช้แป้งสาลี 400 กรัม, เกลือ 1/2 ช้อนชา, เนยสด 200 กรัม, ไข่แดง 2 ฟอง และกลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ ตีเกลือ เนยสด ไข่แดง และกลิ่นวานิลลาด้วยเครื่องให้เข้ากันก่อน จากนั้นเทแป้งสาลีลงไปผสม โดยใช้มือค่อย ๆ ผสมให้เข้ากัน

ค่อย ๆ จับแป้งขึ้นมาเป็นก้อน ๆ ปั้นเป็นก้อนกลม จากนั้นแบออกมาเป็นแผ่น ใส่ไส้สัปปะรด ลงไป แล้วใส่ลงไปบนพิมพ์ ซึ่งเป็นรูปต่าง ๆ อาทิ แอปเปิ้ล ฟักทอง

จากนั้น นำเข้าเตาอบ ใช้ความร้อน 150 องศาฯ อบประมาณ 5 นาที เท่านี้ก็เป็น อันเรียบร้อยแล้ว จัดใส่กล่องพลาสติกใสกลม ประมาณ 120 กรัม

สำหรับพาย 120 กรัม ต้นทุนประมาณ 13 บาท ขายส่ง 25 บาท ส่วนทาร์ส 120 กรัม ต้นทุนประมาณ 15 บาท ขายส่ง 25 บาท

ใคร สนใจขนมอบ อย่าง “ทาร์ส” และ “พาย” ของคุณน้อง-ขนิษฐา สวัสดิ์เวช อยากจะสั่งไปจำหน่าย ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 0-5047-4676 หรือใครจะลองนำสูตรไปฝึกทำขายดูบ้าง ก็ได้เลย!


สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล รายงาน
จเร รัตนราตรี ภาพ

credit : www.sanook.com

ป้ายกำกับ: , , ,

ให้บริการและขายโลงศพสุนัข


ด้วย ความที่มีจิตใจรักสุนัขเป็นพื้นฐาน กอปรกับตั้งใจไว้ว่าจะทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุนัขให้ครบวงจร จึงเป็นเหตุให้ “อนุพันธ์ บุญชื่น” คิดอะไรที่ไม่ค่อยซ้ำแบบใคร…เป็นผลให้บังเกิดไอเดียเก๋ไก๋ในอาชีพ “ให้บริการและขายโลงศพสุนัข”

งาน ให้บริการและขายโลงศพสุนัข เป็นอาชีพใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ซิง ๆ เมื่อประมาณต้นปี 2549 นี้เอง โดย “อนุพันธ์” เฉลยถึงที่มาอันเป็นจุดเริ่มต้นทำให้มาจับงานด้านนี้ว่า เกิดจากการที่ได้รับรู้ปัญหาของลูกค้าที่สูญเสียสุนัขเพราะอุบัติเหตุรถชน

แต่ ไม่ได้รับการดูแลบรรจุศพสุนัขในโลงให้สมกับเป็นสุนัขแสนรู้ที่เจ้าของรักนัก รักหนา ซึ่งในหัวอกคนรักสุนัขด้วยแล้ว คงไม่อาจยอมรับได้ที่น้องหมาผู้ซื่อสัตย์กับเจ้าของมาตลอดชีวิต แต่เมื่อถึงคราวต้องจากไปจะได้รับการปฏิบัติเพียงแค่บรรจุศพในถุงดำ ก็คงไม่ยุติธรรมเท่าไหร่

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดความคิดเปิดให้บริการดูแลและขายโลงศพสุนัขหลังการตาย ซึ่งถือเป็นอาชีพที่ทำแล้วมีความสุข สบายใจ ขณะ เดียวกันก็มีรายได้เข้ามาอย่างเป็นกอบเป็นกำเนื่องจากตลาดยังไม่มีใครเคยทำ ขณะนี้ได้เปิดเว็บไซต์ยี่ห้อโลงศพ “หลับสบาย” ให้กับผู้ที่มีใจ รักสุนัขแต่มีเหตุให้ต้องสูญเสีย สามารถเข้ามาติดต่อสอบถามราคาและบริการได้

ทั้งนี้ขนาดของโลงศพที่จัดทำจำหน่ายมี 3 ขนาดด้วยกันได้แก่
ขนาดเล็กมีราคา 2,000 บาท สำหรับให้บริการลูกสุนัขขนาดเล็กพันธุ์พูเดิ้ล ชิทสุ
ขนาดกลางเหมาะกับสุนัขพันธุ์เทอร์เรีย บางแก้ว
และขนาดใหญ่ พันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เยอรมัน เชฟเพิร์ด และพันธุ์ลาบารดอร์ เป็นต้น

“เรา ยังไม่รู้ว่าตลาดสุนัขจะตอบรับ ไอเดียนี้อย่างไร แต่ก็ถือเป็นการเอาใจลูกค้าในกลุ่มที่รักสุนัขเป็นชีวิตจิตใจ เวลานี้มีลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาเฉลี่ยเดือนหนึ่งประมาณ 10 ราย ซึ่งลวดลายที่เราออกแบบในโลงศพจะแตกต่างจากโลงศพของคน โลงศพสุนัขเราจะเน้นความน่ารัก เช่น รอยเท้าสุนัข กระดูก เป็นต้น เพื่อไม่ให้ถูกมองว่ามีลักษณะคล้ายโลงศพคนอาจเข้าข่ายลบหลู่ได้”

เจ้าของไอเดียเก๋ขายโลงศพสุนัข พูดพลางอมยิ้มด้วยความปลื้มใจ ก่อนจะสาธยายต่อว่า
งาน ที่เราทำไม่ได้มีแค่ขายโลงศพอย่างเดียวแต่ยังมีบริการบรรจุศพสุนัขด้วย ..ทันที ที่ลูกค้าติดต่อเข้ามาจะมีรถบริการนำโลงไปรับศพสุนัขถึงบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เมื่อไป ถึงแล้วเจ้าหน้าที่จะนำศพสุนัขบรรจุในห่อผ้าดิบ นำใส่โลงพร้อมกับปิดฝาโลงให้สนิทรวมไปถึงการประสานเรื่องทำพิธีกรรมงานศพไป ที่วัดคลองเตยใน ซึ่งเปิดบริการรับสวดและเผาศพสุนัข ตลอดจนการลอยอังคารด้วย


นอกจากนี้บริการที่เปิดให้ กับลูกค้ายังมีเรื่องของการสลักชื่อ ประวัติสุนัขที่โลงศพและลงเว็บไซต์ให้ด้วยเพื่อสดุดีวีรกรรมความกล้าหาญและ ความซื่อสัตย์ของสุนัขตัวนั้น ๆ เพื่อที่ว่ายามที่เจ้าของเกิดความคิดถึงก็สามารถเข้าไปคลิกดูข้อมูลได้
“ผม คิดว่าขณะนี้ทิศทางตลาดสุนัข ในปี 2549 กำลังมาแรง คนรุ่นใหม่นิยมมาเรียนและทำธุรกิจเกี่ยวกับสุนัขกันมาก จนกลายเป็นแฟชั่น ไม่ต่างจากการเรียนภาษาอังกฤษและคอมพิวเตอร์ อาจจะเป็นเพราะว่าในปัจจุบัน ความผูกพันระหว่างสุนัขกับคนไทย ได้แปรเปลี่ยนจากเดิม ที่ผู้คนมักจะเลี้ยงสุนัขเป็นเพียงแค่สัตว์เลี้ยง ไม่ได้มีอะไรที่เทียบเท่ากับคน แต่วิวัฒนาการที่เปลี่ยนทำให้คนให้ความรัก ความสำคัญกับสุนัข ประหนึ่งลูกในไส้ ทำให้ธุกิจเกี่ยวกับสุนัขบูมไปด้วย ผมเชื่อว่าธุรกิจนี้จะยั่งยืนเพราะอายุของสุนัขจะมีช่วงอายุไปจนถึง 12 ปี”

เรา กำลังมองหาพาร์ตเนอร์ เพื่อเป็นเครือข่ายทางธุรกิจจำหน่ายโลงศพสุนัขใน 76 จังหวัด ซึ่งเล็งไปที่กลุ่มตัวแทนหรือร้านค้าที่เปิดขายโลงศพอยู่แล้ว ซึ่งร้านค้าเหล่านี้จะมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนและมีต้นทุนการผลิตโลงศพใน ราคาที่ถูก ซึ่งสั่งทำโลงศพครั้งละมาก ๆ ก็จะได้ราคาที่ถูกลง ไม่แน่ถ้าเราสามารถเชื่อม ต่อกันได้ ต่อไปโลงศพสุนัขน่าจะมีราคาไม่เกิน 500 บาท

credit : www.sanook.com

ป้ายกำกับ: , , , ,

ธุรกิจ “นวดแผนไทย


อาการ ปวดเมื่อยร่างกาย โดยทั่วไปการรักษาอาการเหล่านี้นอกจากการพบแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว หลายคนก็ยังนิยมไปใช้บริการนวดเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด หรือผ่อนคลายร่างกายให้หายจากความเมื่อยล้าและความเครียด ซึ่งปัจจุบันมีผู้ที่มีความต้องการใช้บริการนวดมากขึ้น ความนิยมการนวดไม่จำกัดอยู่เฉพาะแค่ชาวไทย หากแต่ขยายตัวออกไปในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย ดังนั้น “ธุรกิจนวดแผนไทย” จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการ

การ ประกอบธุรกิจนี้จึงเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ที่ต้องการประกอบธุรกิจของตนเอง แต่ก่อนที่จะเริ่มต้นลงมือทำ ผู้ประกอบการควรศึกษาและทำความเข้าใจในธุรกิจนี้ให้ลึกซึ้งเสียก่อน


ผู้ที่สนใจทำธุรกิจนวดแผนไทย ควรมีศักยภาพและคุณสมบัติพื้นฐานดังนี้
  1. มี ใจรักในการให้บริการ เพราะธุรกิจนี้เป็นธุรกิจการให้บริการ ผู้ประกอบการที่ดีควรมีใจรักในงานด้านนี้ มีความซื่อสัตย์ จริงใจ พูดจาไพเราะ และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี


  2. มีศีลธรรมและสัมมา อาชีวะ การนวดเป็นการบริการแบบตัวต่อตัว โอกาสใกล้ชิดสัมผัสร่างกายลูกค้ามีอยู่ตลอดเวลา ผู้ประกอบการอาชีพนี้จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเน้นความบริสุทธิ์ใจและศีลธรรมเป็นหลัก


  3. มีพื้นฐานความ รู้ด้านการนวดแผนไทย เพื่อให้เข้าใจธุรกิจนี้ ผู้ประกอบการควรผ่านการอบรมมาบ้างจากสถานที่อบรมที่มีมาตรฐานและได้รับการ ยอมรับ


  4. มีทำเลที่เหมาะสม ทำเลที่ดีของธุรกิจนี้ควรอยู่ในที่มองเห็นได้ง่าย ชัดเจน และการเดินทางสะดวก


ก่อนเปิดกิจการ “นวดแผนไทย” นั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องติดต่อหน่วยงานต่าง ๆ ดังนี้

> กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ

โดย ทั่วไปธุรกิจบริการจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ แต่ถ้าขายสินค้าอื่นร่วมด้วยต้องจดทะเบียน โดยสามารถศึกษารายละเอียดขออนุญาตได้ที่ www.ismed.or.th หรือที่ www.thairegistration.com

> กรมสรรพากร เพื่อดำเนินการทางภาษีการจดทะเบียน และภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยศึกษาจาก www.rd.go.th

> กระทรวงสาธารณสุข เพื่อจดทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะ

ทั้ง นี้ หากเป็นการนวดเพื่อบำบัด วินิจฉัยโรค หรือฟื้นฟูสมรรถภาพ ตาม พ.ร.บ.การประกอบโรคศิลปะ พ.ศ.2542 ผู้ทำการนวดต้องขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต “สาขาการแพทย์แผนไทยหรือเวชกรรมโบราณ” จากคณะกรรมการวิชาชีพก่อน และต้องดำเนินการในสถานพยาบาลที่ได้รับใบอนุญาตแล้วเท่านั้น

แต่ หากเป็นการนวดเพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อย ไม่ใช่เพื่อการรักษาโรค ผู้ที่ทำการนวดไม่จำเป็นต้องขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตผู้ประกอบการโรคศิลปะ

ผู้ ประกอบการสามารถยื่นคำขอได้ที่กองการประกอบโรคศิลปะ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข หรือในต่างจังหวัดยื่นที่สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด

แม้ธุรกิจการนวดจะเป็นอาชีพให้ บริการ แต่ก็เป็นอาชีพที่ต้องใช้ความรับผิดชอบสูงเช่นกัน โดยมีบทลงโทษทางกฎหมายหากผู้นวดกระทำการนวดแบบการรักษาโรค แต่ไม่มีใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ ซึ่งจะมีความผิดจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และแม้จะไม่ได้นวดแต่ขึ้นป้ายโฆษณาว่าเป็นการนวดรักษาโรคโดยไม่มีใบอนุญาตก็ มีความผิด คือมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


ตามกฎหมายผู้นวดต้องรับผิดชอบ หากเกิดอันตรายแก่ผู้ถูกนวด ดังนี้
  1. หาก ทำให้ผู้อื่นเกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


  2. หาก ผู้ถูกนวดเป็นอันตรายสาหัส ดังนี้คือ ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด เสียความสามารถที่ม่านประสาท อวัยวะสืบพันธุ์ ใบหน้า แท้งลูก จิตพิการติดตัว ทุพพลภาพหรือเจ็บป่วยเรื้อรังตลอดชีวิต หรือไม่สามารถประกอบกิจตามปกติเกินกว่า 20 วัน ต้องโทษจำคุก 6 เดือนถึง 10 ปี


  3. หากกระทำโดยประมาท เช่น นวดแล้วเกิดอันตรายสาหัส ต้องโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


  4. หากนวดผู้ป่วยแล้วทำให้เสียชีวิตถือว่ากระทำการโดยประมาท ต้องโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท

ที่มา www.sanook.com

ป้ายกำกับ: , ,

รวย 3,200 ล้าน จากดอกไม้ก้านเดียว 'มารีเมกโกะ'


หาก เอ่ยถึงฟินแลนด์ เราๆ อาจนึกถึงบรรยากาศของประเทศที่มีแต่หิมะ และแหล่งผลิตมือถือชื่อดัง แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ควรทำความรู้จักในดินแดนแห่งความหนาวเย็นนี้ คือ 'มารีเมกโกะ'

บริษัทออก แบบและผลิตลายผ้าอันมีชื่อเสียงของประเทศฟินแลนด์ ที่ปัจจุบันสร้างรายได้ถึงปีละ 3,200 ล้านบาท จากจุดเริ่มต้นแค่แรงบันดาลใจจากดอกป๊อปปี้ (ดอกฝิ่น) กลายมาเป็นลวดลายบนผืนผ้าและพัฒนามาสู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ โดยทั้งหมดเกิดขึ้นท่ามกลางสภาพภูมิอากาศอันเลวร้าย และภาวะหดหู่จากสงครามโลกครั้งที่ 2

ความสำเร็จอันน่าพิศวง นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ หรือทีซีดีซี ร่วมกับพิพิธภัณฑ์ศิลปะและงานออกแบบแห่งประเทศฟินแลนด์ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวความบากบั่นของบริษัทดังกล่าวออกมาเป็น นิทรรศการหมุนเวียนชุด "มารีเมกโกะ แล้ง หนาว...แต่เร้าใจ" ที่ชั้น 6 ดิ เอ็มโพเรี่ยม โดยหวังให้เรื่องราวอันไม่น่าเชื่อนี้จุดประกายนักออกแบบไทยให้เกิดการเรียน รู้ความเป็นตัวตนที่ผสานความคิดสร้างสรรค์และการจัดการสมัยใหม่จนสร้างแบ รนด์ให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก

"มารีเมกโกะ" แปลชื่อตามตัวได้ว่า "ชุดของเด็กผู้หญิง" ตั้งอยู่ที่กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดสนรอบด้านช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของผู้ก่อตั้ง อาร์มี ราเทีย ผู้ทำหน้าที่ทั้งเป็นผู้อำนวยการบริหาร ผู้อำนวยการฝ่ายศิลปกรรม และหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ในยุคนั้น เป็นผู้นำพาผลงานและนักออกแบบไปสู่ความแตกต่าง และประสบความสำเร็จอย่างสูง

จากโรงงานพิมพ์ผ้าเล็กๆ ไปสู่การขยายรูปแบบธุรกิจจนกลายเป็นบริษัทออกแบบชั้นนำของประเทศที่ทำการ ผลิตและส่งออกเสื้อผ้าไปจนถึงเครื่องใช้ในครัวเรือนและเครื่องใช้ในชีวิต ประจำวันต่างๆ หรือที่เรียกกันว่า "ไลฟ์สไตล์ คอนเซ็ปต์" โดยผลงานทั้งหมดจะแฝงความเป็นชาตินิยมของฟินแลนด์และลัทธิสมัยใหม่นิยม

"แม้ ว่าฟินแลนด์อยู่ท่ามกลางความหนาวเย็นแห้งแล้งเกือบตลอดปี และมีเพียงป่าเป็นทรัพยากรธรรมชาติหลัก แต่มารีเมกโกะกลับสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จนเป็นที่ยอมรับของตลาดโลก ทุกวันนี้เขาทำรายได้ถึง 3,200 ล้านบาท นั่นคือสิ่งที่เราอยากให้นักออกแบบไทยได้เรียนรู้ถึงวิธีคิดว่าเขาทำได้ อย่างไร และถ้าเรามองว่าเราลำบากแล้วในภาวะตอนนี้ ถ้าลองเป็นอย่างเขาบ้างจะทำได้อย่างเขาไหม" ไชยยง รัตนอังกูร ผู้อำนวยการศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ ตอบถึงคำถามที่ว่าทำไมจึงต้องศึกษางานออกแบบของอีกฟากทวีปที่อากาศแตกต่าง จากเมืองร้อนอย่างบ้านเราโดยสิ้นเชิง

นอกจากนี้ ผู้อำนวยการศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ ยังวิเคราะห์ผลงานของมารีเมกโกะ ว่าอาจดูจะขัดกับภาวะของประเทศในยุคนั่น เพราะขณะที่ฟินแลนด์กำลังหดหู่จากสงคราม และขาวโพลนจากหิมะเกือบทั้งปี แต่ผลงานกลับสะท้อนความสดใส สอดแทรกความเป็นธรรมชาติ เนื่องจากพวกเขาต้องการจะให้กำลังใจผู้คน ซึ่งดีไซน์เหล่านี้มาพร้อมกับการไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง และกลวิธีการทำธุรกิจอย่างแยบยล สังเกตพฤติกรรมผู้บริโภคอยู่เสมอ นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบที่ทำให้มารีเมกโกะยังคงแทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิต ของชาวฟินแลนด์ทุกคนมากว่า 5 ทศวรรษ

ผลงานที่นำมาจัดแสดงในนิทรรศการ ประกอบด้วย ชิ้นงานกว่า 100 ชิ้น ไม่ว่าจะเป็นลายผ้าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ ศิลปะท้องถิ่นและงานสถาปัตยกรรมแบบฟินนิช แบบจำลองงานสถาปัตยกรรม เสื้อผ้า เครื่องใช้ในบ้าน และเรื่องราวความสำเร็จของการบริหารองค์กร นับจากยุคก่อตั้งจนถึงยุคปัจจุบันอีกด้วย

นิทรรศการจะแสดงจนถึง วันที่ 18 มิถุนายนนี้ บริเวณห้องจัดแสดงงาน 2 ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ ชั้น 6 ดิ เอ็มโพเรี่ยม ช็อปปิ้ง คอมเพล็กซ์ ใครที่อยากเรียนรู้และทำความเข้าใจกับผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความสำเร็จระดับสุดยอดจากดินแดนแห่งหิมะต้องไม่พลาด

credit : www.sanook.com

ป้ายกำกับ: , , ,

บาหลี สวรรค์นักช็อปปิ้ง โอเอซิสผู้ส่งออก


โดย ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง

ชื่อ เรื่องอย่างนี้ ใครเห็นก็ต้องนึกว่าไปย่ำบาหลีมาแน่ๆ เชียว แต่ขอบอกแค่ได้เห็นได้จับต้องสินค้าจากเมืองอิเหนาเท่านั้นเอง (ในงานบิ๊กเมื่อเร็วๆ นี้ที่เมืองทองธานี) ไม่ได้บินไปถึงที่นั่น อย่างไรก็ตาม ได้ยินได้ฟังพรรคพวกที่ขายงานไม้อยู่ที่สวนจตุจักรเล่ามานานนมแล้วว่า เขาไปนำสินค้าจากบาหลีมาขายจนรวยไม่รู้เรื่อง สามารถขยายกิจการได้ภายในเวลาไม่กี่ปี

ยอม รับว่าแค่เห็นบรรดาผลิตภัณฑ์หลากหลายเมดอินบาหลีแล้วก็น้ำลายไหลอยากได้ไป ตกแต่งบ้าน เพราะแต่ละชิ้นนอกจากจะสวยงามแล้วราคาก็ยังไม่แพง เรียกว่ามีเงินไม่กี่ร้อยก็ได้หลายชิ้น โดยเฉพาะบรรดาหน้ากากไม้สารพัด เขาตกแต่งด้วยสีฉูดฉาด ถึงขั้นต้องมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ด้วย เหตุนี้จึงเป็นเหตุจูงใจให้ต้องสนทนากับเจ้าของกิจการ คุณคริสโตเฟอร์ คาร์สัน ผู้จัดการบริษัท สไปซ ไอส์แลนด์ จำกัด ชาวอเมริกัน ซึ่งทำธุรกิจที่บาหลีมาเกือบยี่สิบปี และเป็นขาประจำมาออกงานบิ๊กของไทยอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากออกงานแฟร์ที่ฮ่องกง และที่แฟรงก์เฟิร์ต

นอกจากจะมี บริษัทส่งออกสินค้าบาหลีไปยังทั่วโลกแล้ว เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาเขาก็ตั้งบริษัทชื่อเดียวกันนี้ในประเทศไทยด้วย เพื่อส่งสินค้าเมดอินไทยแลนด์ประเภทกระเป๋าผ้า หรือโคมไฟ นั่นเพราะเขาเห็นช่องทางการเติบโตของสินค้าไทย ซึ่งสามารถกระจายไปได้ไม่ยาก


สำหรับผลิตภัณฑ์ของบาหลีที่คุณคริสโตเฟอร์ค้าขายอยู่นั้นมีเป็นร้อยเป็นพันแบบ เขาเปรียบเทียบสินค้าของไทยกับของบาหลีว่า
"ราคา ของอินโดฯจะค่อนข้างถูกกว่า แต่ถ้าพูดถึงคุณภาพของไทยจะสูงกว่า โดยเฉพาะความละเอียดของงาน และสินค้าอะไรต่างๆ ของไทยค่อนข้างจะโตกว่าบาหลีอยู่แล้ว ที่อินโดฯนั้นงานฝีมือทุกอย่างจะมารวมกันที่บาหลี เหมือนที่เมืองไทยจะเป็นที่เชียงใหม่ แต่ในความเห็นของผม มองว่าจตุจักรมีสินค้าหลากหลายและครอบคลุมกว่า เพราะมีลูกค้าให้ไอเดียใหม่ๆ"

สาเหตุสำคัญที่ทำให้สินค้า ของอินโดฯถูกกว่าของไทยนั้น เพราะค่าแรงของที่นั่นถูกกว่า รวมถึงวัตถุดิบบางอย่างเช่นไม้ชนิดต่างๆ ซึ่งหนุ่มใหญ่ชาวอเมริกันคนนี้วิเคราะห์ว่าตลาดในไทยยังโตได้อีก

อย่างที่บอกกลูกค้าของคุณคริสโตเฟอร์มีทั่วโลก แต่ตลาดใหญ่ที่สุดก็คืออเมริกาและอังกฤษ

คุณคริสโตเฟอร์ทำธุรกิจอยู่บาหลีมานาน ถึงขั้นตั้งรกรากอยู่ที่นั่น


"สินค้า ประมาณ 50% อย่างพวกสร้อยคอมือ ลูกปัด หรือกระจก ซึ่งสั่งมาจากอเมริกาแล้วนำมาตกแต่ง ผมจะผลิตขึ้นมาเอง มีโรงงานอยู่ที่บาหลีมีคนงานอยู่ประมาณ 100-700 คน ส่วนสินค้าอื่นๆ รับซื้อมาจากกลุ่มต่างๆ แล้วจะมาดูว่าสินค้าตัวไหนที่จะไปได้ในปีนี้ จากนั้นมาทำแพ็กเกจจิ้งใหม่"


เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายขึ้นในการทำธุรกิจส่งออก คุณคริสโตเฟอร์อธิบายด้วยการเขียนภาพปิระมิดให้ดู
"พวก ที่เขาส่งสินค้าเรามาเป็นสินค้าอุตสาหกรรมในครอบครัวหรือเป็นพวกเอสเอ็มอี แบบเมืองไทย ผมเองเป็นผู้ส่งออกก็อยู่บนยอดปิระมิด ที่เรียกว่าเป็น CO-ODINATE ส่วนซัพพลายเออร์แต่ละเจ้าก็จะคอยตรวจเช็คคุณภาพสินค้า ก่อนที่จะขึ้นมาถึงผมอีกทีหนึ่ง"


ในฐานะที่อยู่ในวงการธุรกิจส่งออกมาถึง 18 ปี เลยอยากฟังความเห็นถึงนโยบายการส่งเสริมโอท็อปของรัฐบาลไทยคุณคริสโตเฟอร์วิจารณ์ตรงไปตรงมาว่า
"ถ้า เทียบกับอินโดนีเซีย ของไทยสนับสนุนมากกว่า ซึ่งโอท็อปเป็นความคิดที่ดี แต่จะดีกว่านี้อีกถ้ารัฐบาลสนับสนุนให้ความรู้จริงๆ ว่าเรื่องการส่งออกคืออะไร การส่งออกที่สำคัญคือรายละเอียดด้านการจัดการเช่น เราสามารถระบุได้ว่าของสิ่งนี้เราจะบรรจุหีบห่อให้ลูกค้าอย่างไร ถุงหนึ่งกล่องหนึ่งมีกี่ชิ้น มีจำนวนกี่คิวบิกเมตรต่อตู้ อะไรอย่างนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการรายละเอียดค่อนข้างเยอะ แต่ว่าผู้ขายคนไทยมักจะไม่รู้อะไรตรงนี้เลย รวมถึงการทำรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าแต่ละตัว โดยมีบาร์โค้ด เพื่อสะดวกเวลาลูกค้าสั่ง"


เป็นธรรมดาของการทำธุรกิจ ย่อมมีปัญหาอุปสรรค เขาเองก็เช่นกัน
"ปัญหา มันมีหลายหลากอย่างปัญหาที่ผมเจอเช่น เรื่องการควบคุมคุณภาพ เขาเช็คไม่ดี สินค้าไปถึงแล้วลูกค้าไม่พอใจ ตรงนี้เราก็ต้องคืนเงินให้หรืออย่างบางทีเวลาเราขนของเข้าตู้คอนเทนเนอร์ตอน เปิดตู้ฝนตกก็ไม่เป็นไร แต่พอไปถึงลูกค้าก็ขึ้นรา เกิดความเสียหายขึ้น"


ก่อน จบบทสนทนาในวันนั้น เขาบอกว่า ตอนนี้คนไทยก็รับสินค้าจากบาหลีมาเยอะ อย่างที่ภูเก็ต แต่ถ้าใครอยากจะซื้อผ่านเขาติดต่อได้ที่ (662) 238-4523 แฟ็กซ์ (662) 2672436 หรือ E-mail : sails@spice-islands.co.th

ที่มา www.sanook.com

ป้ายกำกับ: , , , ,

กิ๊ฟท์ช็อป ตลาดนัด แหล่งทำเงิน


“ตลาด นัด” ที่มีตามย่านต่างๆ นั้น แม้ว่าจะดูธรรมดา แต่ก็เป็นแหล่งสร้างรายได้ให้กับผู้ค้าขายมากต่อมาก รวมถึงผู้ที่ค้าขายสินค้าประเภทเครื่องประดับสตรี หรือที่เรียกกันว่าร้าน “กิ๊ฟท์ช็อป” ซึ่งวันนี้ “ช่องทางทำกิน” มีหลักปฏิบัติของผู้ค้ารายหนึ่งมาเล่าสู่ให้ลองพิจารณากัน....

ปีติภัทร ปัญญาสุขศิริ เปิดร้านกิ๊ฟท์ช็อปตามตลาดนัดต่าง ๆ มานานแล้ว ซึ่งเจ้าตัวก็บอกว่าเป็นอาชีพอิสระ สนุก และรายได้ดี ซึ่งการขายของประเภทนี้ตามตลาดนัดเบื้องต้นลงทุนประมาณ 3,000 บาทก็อยู่ ส่วนทุนหมุนเวียนต่อวันก็ประมาณ 1,000-1,500 บาท หรือมากหรือน้อยกว่า ขึ้นอยู่กับทำเลขาย ลงทุนซื้อของที่จะขาย เช่น สร้อยคอ สร้อยข้อมือ กำไล ต่างหู ตัวหนีบ กิ๊ฟท์ติดผม ฯลฯ

โดยแหล่งขายส่งราคาถูกอยู่ในกรุงเทพฯ คือที่ “ตลาดสำเพ็ง” ซึ่งเป็นแหล่งสินค้าหลากหลายตามแฟชั่น ราคาขายส่ง

การ ขายตามตลาดนัดก็ต้องมีอุปกรณ์ที่สะดวกทั้งในการขน การใช้ และการเก็บ เช่น ขาตั้งโต๊ะ โต๊ะ ร่ม แผงแขวนต่างหู ตะขอแขวนสร้อยต่างๆ ซึ่งก็เป็นอุปกรณ์ที่ราคาไม่แพงมาก ลงทุนก็ประมาณ 2,000 บาท

ตลาดนัดที่เป็นแหล่งขายนั้น ถ้าเป็นย่านสำนักงานก็แบ่งออกได้เป็น 3 แบบคือ ตลาดนัดช่วงเช้า ก่อนเวลาทำงานของพนักงาน, ตลาดนัดช่วงกลางวัน ช่วงเวลาทานอาหาร และตลาดนัดช่วงเย็น หลังเวลาเลิกงาน

คิด จะยึดอาชีพแบบนี้ก่อนอื่นก็จะต้องสำรวจก่อนว่ามีตลาดนัดที่ไหนบ้าง แต่ละที่มีช่วงเวลาขายอย่างไร ค่าเช่าที่เท่าไหร่ ต้องจับสลากล็อกขายด้วยหรือเปล่า ฯลฯ เมื่อได้ข้อมูลตรงนี้ และพร้อมแล้ว ก็ลุยได้

“ในวันหนึ่งๆ ควรจะต้องขายให้ได้ประมาณ 2 แห่งเป็นอย่างต่ำ และอย่าขายที่เดียวกันทุกวัน เพราะลูกค้าจะไม่ซื้อ เพราะคิดว่าพรุ่งนี้ก็มาขายอีก ซึ่งทำเลที่ตั้งของตลาดก็เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะจะเป็นตัวกำหนดว่าเราจะจัดหน้าร้านแบบไหน ตั้งราคาเท่าไร คุยกับลูกค้ายังไง”

เมื่อทราบแล้วว่าจะขายของที่ไหน ก็มาดูเรื่องการเลือกซื้อสินค้ามาลงร้าน อาจจะเลือกให้แตกต่างจากเจ้าอื่น เลือกซื้อสินค้าที่ตนเองชอบเป็นเกณฑ์ เลือกที่แบบ-ลวดลายที่คิดว่าสวย หรือสวยกว่าร้านอื่น แต่ละอย่างอาจจะวางขายเพียง 3-5 ชิ้นพอ เพื่อไม่ให้สินค้าดูเกร่อ หรือดูมากจนไม่มีราคา และการจัดหน้าร้านก็ควรจะจัดให้มี “ศิลปะ” ด้วย จัดให้หน้าร้านน่ามอง น่าแวะดูของ เรียงของให้เป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม อยากจะขายอะไรมากเป็นพิเศษก็ควรจะนำเสนอแบบนั้นไป

และช่วงนี้ “ดอกไม้” อย่างทานตะวัน หรือลีลาวดีมาแรงมาก ก็ไปรับดอกไม้มายกโหล ซึ่งจะได้ในราคาถูก และนำมาติดกับที่คาดผม ยางรัดผม กิ๊ฟท์ติดผม ตัวหนีบผม เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าของเรา

สำหรับการตั้งราคา นั้น ให้ตั้งราคาของบวกเข้าไปอีกมากกว่า 50% ของราคาทุนได้เลย เพราะกำไรที่ได้จะต้องหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อีก อาทิ ค่ารถ ค่ากิน ค่าเช่าที่ ซึ่งต้องคำนวณให้เหลือคุ้มเหนื่อย อย่างไรก็ตาม นอกจากการตั้งราคาที่มากกว่าครึ่งของทุนเป็นเกณฑ์แล้ว ก็จำเป็นต้องดูตลาดด้วย หากทำเลแถบนั้นเป็นย่านหรูก็ตั้งราคาได้ดีหน่อย แต่ก็จะต้องมีสินค้าที่ราคาหลากหลาย เพื่อที่จะให้ลูกค้าได้เปรียบเทียบคุณภาพได้

ส่วนถ้าเป็นย่านที่ หรูน้อยหน่อยก็ตั้งราคาให้ต่ำลงมาหน่อย นอกเหนือไปจากนี้ การทำอาชีพนี้ต้องหมั่นไปสำรวจตลาดนัดอื่น-เจ้าอื่นด้วยว่าเขาขายในราคาเท่า ไหร่ หรืออาจจะถามจากเจ้าของร้านที่เราไปรับสินค้ามา ว่าสินค้าแบบนี้ถ้านำไปขายปลีกแล้วควรจะขายเท่าไหร่ เพื่อจะได้เป็นเกณฑ์ในการตั้งราคาได้เหมาะสม

“การ ลงทุนทำกิ๊ฟท์ช็อปตามตลาดนัด ก็ทำได้ทั้งแบบลงทุนมากนับหมื่น เพื่อที่จะมีสินค้าทุกอย่าง ขายเป็นจำนวนมาก แต่ต้องมั่นใจว่าทำเลดี และมีลูกค้ามากพอ หรืออาจจะลงทุนแค่ไม่มาก มีของพอประมาณ แต่สามารถเปลี่ยนของได้บ่อย ๆ เพื่อความหลากหลาย”

ว่างจากการขาย ก็ควรแวะไปสำรวจแหล่งค้าส่งสินค้าบ่อย ๆ ด้วย เพื่อเป็นการอัพเดต ดูว่าอะไรอิน อะไรเอาท์ หรือช่วงนี้สินค้าอะไรขายดี อย่าง สำเพ็งที่เป็นศูนย์รวม-แหล่งแฟชั่นอีกที่หนึ่งก็ไปดูเทรนด์ได้ ซึ่งที่มาของแฟชั่นสำเพ็งก็คือนิตยสารจากต่างประเทศ และดารานางแบบที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ จากข้อมูลต่าง ๆ ดังที่กล่าวข้างต้น ถือเป็นหลักการเบื้องต้นคร่าว ๆ ในการค้าขายตามตลาดนัด

ใน ทางปฏิบัติก็ยังต้องขึ้นอยู่กับว่าไหวพริบปฏิภาณ หรือวิญญาณพ่อค้าแม่ขาย และที่ไม่ควรมองข้ามก็คือเรื่องการสร้างความเป็นมิตรระหว่างผู้ค้าด้วยกัน เองในตลาด ก็จะได้อะไรต่อมิอะไรที่มีประโยชน์ต่อการค้าขายของเราไม่น้อย

ให้ข้อมูลต่าง ๆ จากประสบการณ์แล้ว ปีติภัทร ผู้ชำนาญการเรื่อง “กิ๊ฟท์ช็อป” ยังย้ำด้วยว่า “สิ่ง ที่สำคัญของการค้าขายตามตลาดนัดให้เจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นร้านกิ๊ฟท์ชอป หรือร้านขายอะไรก็ตาม จะต้องเป็นคนขยัน เอาใจลูกค้า และต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรงด้วย” “ตลาดนัด” อย่าได้คิดว่ากระจอก ถือว่าเป็น “แหล่งทำเงิน” ทีดีเชียวแหละ !!


credit www.sanook.com

ป้ายกำกับ: , , ,

ไอศครีมผลไม้ จุดขายเพื่อสุขภาพ


”ไอศครีม” ไม่ ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยก็ยังเป็นของโปรดของเด็ก ๆ รวมถึงผู้ใหญ่หลาย ๆ คน ซึ่งต่อให้เป็นช่วงฤดูหนาว แต่ด้วยรสชาติหอมหวาน อร่อยชื่นใจ ไอศครีมก็ยังขายได้ขายดี โดยไอศครีมนั้นก็มีมากมายหลายชนิด รวมถึง “ไอศครีมผลไม้” ที่ไม่มีส่วนผสมของนม ไข่ ไขมันจากสัตว์ ซึ่งเป็นทางเลือกของผู้ที่ชอบทานไอศครีม แต่ห่วงสุขภาพ-ทรวดทรง

วันนี้ ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลไอศครีมผลไม้มาฝากกัน....เมื่อเร็ว ๆ นี้ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” ร่วมเดินทางไปกับคณะของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ไปที่ จ.เชียงใหม่ เพื่อไปดูความสำเร็จของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างผู้ประกอบ การใหม่

น้อย-ดารา วงศ์วรรณ อายุ 42 ปี เจ้า ของร้านมิสซิสไอซี่ (MRS.ICY) ที่ผลิตและขาย “ไอศครีมผลไม้ไขมันต่ำ” ซึ่งมีกว่า 43 รสชาติ โดยส่วนใหญ่จะใช้ผลไม้ในท้องถิ่น และสมุนไพรต่าง ๆ ก็เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ทีมงานได้ไปพบ

คุณน้อยเล่าว่า เรียนจบปริญญาตรีสาขาบัญชีจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็เข้าทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง แต่ก็ได้เรียนรู้ที่จะนำผลไม้ต่าง ๆ มาแปรรูปด้วย เพราะทางบ้านนั้นมีสวนผลไม้อยู่

ในตอนแรกก็ทำเป็นแยม โดยทำเป็นงานอดิเรกไว้รับประทานในหมู่ญาติและเพื่อน ๆ ต่อมาจึงทำขายด้วย ทำเป็นน้ำผลไม้ออกขายเพิ่มเติมจากแยม ซึ่งก็ได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี โดยผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่จะไม่มีการใส่สารกันบูด สารปรุงแต่ง

ทั้งแยม ผลไม้และน้ำผลไม้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพื่อน ๆ ก็เลยเชียร์ให้ทำ “ไอศครีมผลไม้” ด้วย ซึ่งตอนแรกก็ไม่อยากทำเพราะไม่มีความรู้เรื่องไอศครีมเลย แต่ด้วยแรงเชียร์ก็เริ่มที่จะศึกษาด้วยตัวเอง โดยมีแนวความคิดว่าจะต้องทำเป็น “ไอศครีมเพื่อสุขภาพ” ไอศครีมที่ทำจะต้องไม่มีส่วนผสมของนม ไข่ ไขมันจากสัตว์ ไม่ใส่สารปรุงแต่ง สารกันบูด และจะต้องไม่หวานมาก

ทดลองทำ พัฒนาอยู่ประมาณ 1 ปี ก็ได้สูตรไอศครีมผลไม้ไขมันต่ำ ซึ่งในการทำระยะแรก ๆ นั้นมีอยู่ 20 รสชาติ นำทั้งผลไม้ท้องถิ่นมาทำ ไม่ว่าจะเป็น เสาวรส, มะเกี๋ยง, มะนาว, สตรอเบอรี่, มะม่วง, กระเจี๊ยบ ฯลฯ รวมถึงใช้พืชสมุนไพร ไม่ว่าจะเป็น ขิง, ตะไคร้, สะระแหน่, งาดำ ฯลฯ มาพัฒนาดัดแปลงทำเป็นรสชาติไอศครีม จนเดี๋ยวนี่รสชาติไอศครีมของร้านมิสซิสไอซี่มีกว่า 43 รสชาติ

คุณ น้อยบอกอีกว่า อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมีในการทำไอศครีมขายหลัก ๆ ก็ได้แก่ เครื่องปั่นไอศครีม ที่เหลือก็จะเป็นอุปกรณ์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นหม้อ เครื่องตวง เตาแก๊ส ทัพพี ฯลฯ

สำหรับเครื่องปั่น ไอศครีมนั้น ถ้าเป็นราคาเครื่องที่สั่งทำพิเศษของร้านมิสซิสไอซี่ ราคาอยู่ที่เครื่องละ 200,000 บาท แต่ถ้าเป็นเครื่องเล็ก ๆ ที่มีขายอยู่แล้ว เครื่องละ 6,000 บาทก็พอใช้ได้แล้ว สำหรับผู้ที่เริ่มลงทุนใหม่ ส่วนวัตถุดิบที่ต้องใช้ก็มีผลไม้ต่าง ๆ พืชสมุนไพร น้ำสะอาด น้ำตาล และไขมันจากพืช (น้ำมันมะกอก)

ขั้นตอนการทำไอศครีม คุณน้อยแจกแจงว่า เริ่มจากการนำผลไม้หรือพืชสมุนไพรที่ต้องการจะทำไอศครีมรสชาตินั้น ๆ มาทำการแปรรูป ผ่านกรรมวิธีเพื่อที่จะได้ออกมาในรูปของน้ำ

ใช้น้ำ ผลไม้หรือน้ำสมุนไพรที่ได้ประมาณ 80% ผสมน้ำสะอาดประมาณ 5% แล้วทำการต้มเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค ระหว่างต้มก็ใส่เนื้อของผลไม้นั้น ๆ ประมาณ 14% ใส่ไขมันจากพืชคือน้ำมันมะกอก 1% และน้ำตาลเล็กน้อย ผสมลง ไปต้มแค่พอเดือด จากนั้นก็ยกลงพักไว้ผลไม้ที่นำมาทำไอศครีมควรใช้ผลไม้ที่มีความแก่จัด เวลาทำออกมาจะได้รสชาติ และกลิ่นของผลไม้นั้น ๆ อย่างเต็มที่

ขั้นตอนต่อไป หลังจากน้ำผลไม้หรือน้ำสมุนไพรที่ผ่านการต้มฆ่าเชื้อโรคเย็นสนิทแล้ว ก็นำไปปั่นในเครื่องปั่นไอศครีม ใช้เวลาปั่นประมาณ 15-20 นาที สังเกตดูพอเนื้อเนียนก็ใช้ได้

หลังจากปั่นจนได้ที่ก็ทำการเทจัด เก็บไว้ในกล่องที่เตรียมไว้ จากนั้นก็นำไปทำกรรมวิธีต่อไป คือการบ่ม ซึ่งการบ่มก็คือการนำไปแช่เก็บไว้เพื่อเป็นการทำให้เนื้อไอศครีมได้เซทตัว ใช้เวลาบ่มประมาณ 6 ชั่วโมงก็จะใช้ได้

ไอศครีมผลไม้ไขมันต่ำที่ไม่มี การใส่สารกันบูดนี้ สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานประมาณ 1 ปี แต่ต้องอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม คือ -18 องศาเซลเซียส

การขาย “ไอศครีมผลไม้ไขมันต่ำ” ของร้านมิสซิสไอซี่ คุณน้อยบอกว่า มีทั้งขายเป็นแพ็ก ๆ ละ 3 กก. ราคา 240 บาท/กก. หรือแพ็กละ 720 บาท และขายแบบเป็นถ้วย ๆ ละ 20 บาท

ในส่วนของต้นทุนต่าง ๆ รวมทั้งหมด คุณน้อยบอกว่า จะอยู่ที่ไม่เกิน 85%

ร้าน “ไอศครีมผลไม้ไขมันต่ำ” มิสซิสไอซี่ ของคุณน้อย อยู่ที่ 119/50 หมู่ 5 ถนนมหิดล ต.หนองหอย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ใครสนใจจะสั่งไอศครีม ซึ่งก็มีราคาขายส่งให้นำไปขายต่อด้วย ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 0-1884-2300

นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ !!.

ที่ีมา www.sanook.com

ป้ายกำกับ: , , ,

กังหันวิดน้ำ งานทำเงิน


ประกอบ อาชีพอะไรอยู่แล้วเกิดปัญหา ก็ไม่ได้หมายความว่าจะประกอบสัมมาอาชีพ อื่น ๆ ต่อไปไม่ได้ หลายคนเหลียวมองสิ่งรอบตัวแล้วก็เกิดไอเดีย-เกิดอาชีพทดแทนใหม่ ๆ ขึ้นมา... ดังเช่น “บุญลือ สืบจากสี” กับสินค้า “กังหันวิดน้ำ” ทำจาก “ไม้ไผ่” ที่ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้...

เจ้าของไอ เดียงานประดิษฐ์ "กังหันวิดน้ำไม้ไผ่" เล่าว่า เดิมทีมีอาชีพเปิดแผงขายผลไม้ให้กับนักท่องเที่ยวอยู่หน้าแหล่งท่องเที่ยว วังตะไคร้ จ.นครนายก แต่พอเกิดเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากจนสถานที่ท่องเที่ยวปิดตัวลง ระหว่างนั้นก็คิดว่าน่าจะหาอะไรทำเพื่อเป็นอาชีพทดแทนไปก่อน

พอ ดีเห็นกังหันวิดน้ำอันมหึมาที่ตั้งอยู่หน้าวังตะไคร้ แล้วเกิดไอเดีย คิดว่าน่าจะลองนำมาจำลองทำเป็น "ของที่ระลึก" ขายนักท่องเที่ยว

"ทดลอง ทำขาย 10 ตัวช่วงวันเด็ก ปรากฏว่าขายหมด ทำเพิ่มอีกก็ขายหมดอีก จึงคิดว่าน่าจะพอเป็นช่องทางสร้างรายได้ที่ดี ก็เลยทำจริงจังในจำนวนที่มากขึ้น และพยายามปรับปรุงรูปแบบใหม่ ๆ ออกมา"

ต่อมาก็มีการรวมตัวจัดตั้งเป็นกลุ่มขึ้นมา โดยอาศัยเครือญาติคนในครอบครัวเป็นแรงงานภาคผลิต แบ่งหน้าที่กันทำ เพราะสินค้าเริ่มมียอดสั่งซื้อเข้ามามากจนไม่สามารถทำคนเดียวไหว มีลูกค้าสั่งทำและสั่งซื้อจากทั่วประเทศ เรียกว่าจากเหนือจดใต้เลยทีเดียว กังหันวิดน้ำที่ทำนั้น มีอยู่ราว ๆ 30 กว่าแบบ แต่จะเพิ่มแบบมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะลูกค้าอาจเบื่อรูปแบบเก่า ๆ และอีกส่วนก็เพราะมีคนลอกเลียนแบบงาน จึงจำเป็นต้องคิดแบบใหม่ ๆ เพื่อหนีกลุ่มที่ชอบก๊อบปี้

"งานของเรา ไม่ได้จดลิขสิทธิ์ไว้ แต่จุดแข็งของเราคืองานมีความทนทานสูง เนื่องจากวัตถุดิบไม้ไผ่จากแหล่งนครนายกเป็นไม้ไผ่ที่ไม่แตกง่าย" ราคาขายนั้น บุญลือบอกว่า ขึ้นอยู่กับแบบและขนาดของกังหัน

จะมี ตั้งแต่ขนาดเล็กสุดคือ 28 เซนติเมตร ไปจนถึงขนาดบิ๊กเบิ้มหรือขนาดใหญ่ 3 เมตร โดยราคาขายส่งเริ่มต้นตั้งแต่ชุดละ 150 บาทจนถึง 4,500 บาท

ส่วนต้นทุนถ้าเป็นขนาดเล็กสุดเฉลี่ยแล้วก็ประมาณ 80-100 บาท


สำหรับอุปกรณ์ในการทำ ที่ต้องใช้ ที่จำเป็นและช่วยทำให้งานรวดเร็วขึ้นก็มีอาทิ
เครื่อง ตัดไม้ ราคาประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป, สว่านแท่น ราคาประมาณ 4,000 บาท, เครื่องเจียรมือไฟฟ้า ราคาประมาณ 2,000 บาท และ สว่านมือ ราคาประมาณ 1,000 บาท


ส่วนวัตถุดิบที่ต้องใช้ หลัก ๆ ก็คือ ไม้ไผ่เลี้ยงหรือไผ่ตง (ลำเล็กตกลำละ 30 บาท ลำใหญ่ลำละ 250 บาท)
นอก จากนี้ก็ต้องมีไม้เนื้ออ่อน, กาวร้อน, ลวดชนิดแข็ง (สำหรับทำแกนใบพัดกังหัน), เทปพันสายไฟ, ขี้เลื่อย, ไม้เสียบลูกชิ้น, สายยาง (สำหรับสูบน้ำเข้ากังหัน) และน้ำยายูริเทน ทุนเบื้องต้นบุญลือบอกว่า น่าจะอยู่ที่ประมาณ 25,000 บาทขึ้นไป ซึ่งอาจถูกลงกว่านี้หากเริ่มทำไม่มาก และตัดอุปกรณ์บางส่วนออก


โดยงานประเภทนี้ "แรงงานคน-ฝีมือ-ไอเดีย" เป็นสิ่งสำคัญ ทำได้ชำนาญก็สามารถจะผลิตได้สัปดาห์ละประมาณ 20 ชุด แต่ถ้าเพิ่มอุปกรณ์ทุ่นแรงเข้ามาก็สามารถผลิตได้เป็นหลักร้อย

ขั้นตอนการทำ...
  • เริ่มจากนำไม้ไผ่มาตัดแบ่งตามขนาดที่ต้องการ โดยขูดผิวให้ผิวสีเขียวให้เหลือแต่ผิวสีเหลืองอย่างเดียว
    สำหรับส่วนต่าง ๆ ของกังหันนั้นแบ่งออกเป็น
    - ไม้สำหรับยึดตัวแกนกังหันไว้ตรงกลางทั้ง 2 ข้าง
    - ไม้สำหรับใช้ทำฐานวางกังหัน ตัวแกนกังหัน ใบพัด และตุ๊กตาวิดน้ำ
  • ตุ๊กตาวิดน้ำจะใช้ไม้ไผ่และไม้เนื้ออ่อนประกอบกัน กล่าวคือในส่วนลำตัวจะใช้ไม้ไผ่
  • ขณะที่ส่วนหน้าตาของตุ๊กตาหรือหมวกจะใช้ไม้เนื้ออ่อน ตัดตามรูปทรงที่ต้องการ แล้วนำมาประกบกันด้วยกาวหรือตะปู
  • ส่วนแกนกังหันให้นำลวดแข็งมาสอดจนทะลุจากปลายด้านหนึ่งถึงอีกด้านหนึ่ง
  • จากนั้นนำไม้ไผ่ที่ตัดแล้วมาวัดหาเส้นรอบวงเพื่อคำนวณระยะห่าง สำหรับเจาะรูเพื่อใส่แกนของใบพัด ซึ่งใช้สูตรง่าย ๆ คือ... "ความยาวของแกนกังหันมีขนาดเท่าไหร่ก็ให้เอา 8 หาร ได้เท่าไหร่ก็คือระยะห่างระหว่างรูที่เจาะสำหรับใส่แกนใบพัดของกังหัน"
  • เมื่อได้ส่วนประกอบต่าง ๆ แล้วก็ให้นำมาประกอบกันขึ้นเป็นตัวกังหัน โดยการประกอบก็ใช้กาวร้อนและตะปูยึดติดในส่วนต่าง ๆ ซึ่งเป็นวิธีแบบง่าย ๆ

    "หากเป็นงานไม่ละเอียดมากส่วนใหญ่ก็จะใช้กาวและตะปูเป็นตัวยึด แต่สำหรับงานที่ต้องการความละเอียดหรือเป็นงานที่ลูกค้าระบุมาว่าไม่ต้องการ ให้มีโลหะ ก็จะใช้วิธีการตอกลิ่มแทน"

  • เมื่อประกอบเป็นกังหันเสร็จ ก็นำมาเคลือบน้ำมันยูริเทนเพื่อรักษาเนื้อไม้ ตั้งทิ้งไว้ให้แห้งก็เป็นอันเสร็จ

    ถ้าต้องการให้กังหันวิดน้ำต่อเนื่องเร็วขึ้น หรือไม่ต้องการให้สิ้นเปลืองน้ำ ก็แนะนำว่าให้ใช้ที่ดูดน้ำวน สำหรับใส่ตู้ปลาติดตั้งเพิ่มเข้าไป โดยราคาอุปกรณ์ที่ว่านี้ไม่น่าจะเกิน 100 บาท หาซื้อได้ตามร้านขายปลาตู้ "

    และหากต้องการให้กังหันปลอดจาก มอดหรือปลวก ก็ให้ทาน้ำยาเคลือบป้องกันปลวกก่อนที่จะเคลือบยูริเทน แต่ต้องแนะนำกับลูกค้าด้วยว่าซื้อไปแล้วหากจะนำไปใส่ในอ่างน้ำที่เลี้ยงปลา ควรตั้งทิ้งไว้ระยะหนึ่งก่อน มิฉะนั้นอาจเป็นอันตรายกับปลาได้" ...เป็นเคล็ดลับที่บุญลือฝากทิ้งท้าย



    ใครที่สนใจ "กังหันวิดน้ำ" แบบย่อส่วน ทำจากไม้ไผ่ ต้องการติดต่อกับบุญลือ ก็ติดต่อไปได้ที่ 42/3 หมู่ 9 ต.หินตั้ง อ.เมือง จ.นคร นายก โทร.0-1374-5470, 0-9532-8725 หรือ 0-3738-4030

    นอกจากจำหน่ายที่ กลุ่มและจำหน่ายแบบส่งเป็นพัสดุแล้ว สำหรับคนที่สนใจอยากฝึกฝนการทำ บุญลือบอกว่า...ไม่หวงวิชา แต่ต้องลองไปพูดคุยกันก่อน ถูกชะตา-คุยกันถูกคอ...ก็ยินดีจะสอนให้ !!.


    ศิริโรจน์ ศิริแพทย์


  • ที่มา www.sanook.com

    ป้ายกำกับ: , , ,

    กวนเชียงปลา’ ทำเงินจากคนเบื่อหมู


    ช่อง ทางทำกิน” วันนี้ทางทีมงานมีข้อมูล “กวนเชียงปลา” ภูมิปัญญาชาวบ้านที่นำสิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาดัดแปลงปรับปรุงให้เกิด ประโยชน์มากที่สุด และนำมาเป็นอาชีพเลี้ยงครอบครัวได้...

    ชุมพล จั่นจำรัส เจ้าของผลิตภัณท์ “กวนเชียงปลา” ฝีมือหนุ่มนักสู้ชีวิตแห่งบางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา เล่าให้ฟังถึงที่มาของอาชีพทำกวนเชียงปลาขายว่า เป็นคนบางน้ำเปรี้ยวโดยกำเนิด อดีตเคยเป็นเซลส์ขายไอศกรีมมาก่อน พอแต่งงานมีครอบครัวก็ออกมาค้าขายอยู่ประมาณ 2 ปี มีปัญหากัน และได้แยกกับภรรยา จากนั้นก็ได้ไปบวชที่วัดเภตา จ.ระยอง

    หลังลาสิกขากลับมาอยู่บ้านกับแม่ที่แปดริ้ว นั่ง คิดว่าจะทำอาชีพอะไรเลี้ยงตัวเองและแม่ที่แก่แล้ว ก็มาลงตัวที่อะไรที่เกี่ยวกับ “ปลา” “ที่นี่มีคนเลี้ยงปลากันมาก ผมชอบทานปลา น่าจะทำอะไรเกี่ยวกับปลา จำได้ว่าตอนมัธยมเคยเรียนการแปรรูปและถนอมอาหาร การทำกุนเชียงหมู ก็เลยคิดว่าเราน่าจะดัดแปลงจากเนื้อหมูมาเป็นเนื้อปลา

    ก็ พยายามคิดพัฒนาสูตร ลองผิดลองถูกนานพอสมควร เสียทั้งเงินเสียทั้งของไปไม่น้อย จนนึกท้อ เพราะต้องกู้เงินเอามาทำ แต่ได้กำลังใจจากแม่และคุณครู จนมีแรงฮึดสู้ต่อ คิดว่าถ้าเรามุ่งมั่น ตั้งใจจริง สักวันต้องสำเร็จ”

    จากนั้นก็ได้ ศึกษาค้นคว้าตำราการถนอมอาหารมาประกอบ และซื้อกวนเชียงปลาจาก จ.สิงห์บุรี มาทดลองชิม พัฒนารสชาติเฉพาะให้เป็นของตนเอง ซึ่งจะเน้นที่ปลาเป็นหลัก จะไม่มีส่วนผสมของแป้ง

    และเมื่อนำไปให้ญาติพี่น้องและคนรู้จักชิมดู ทุกคนบอกว่าอร่อย ก็เริ่มทำขายทีละน้อย ๆ เป็นการลองตลาด ชุมพลบอกว่า

    ทุก วันนี้ขายกวนเชียงปลาอยู่ข้าง ๆ ธนาคารกรุงไทย ก่อนทางเข้าตลาดบางน้ำเปรี้ยว เปิดตัวขายมาได้หลายเดือนแล้ว ก็มีลูกค้าพอสมควร ส่วนผสมหลักของกวนเชียงปลาก็คือ เนื้อปลา ชุมพลบอกว่าสามารถใช้ปลาน้ำจืดได้ทุกชนิด แต่ส่วนใหญ่นิยมใช้ ปลานวลจันทร์ และ ปลายี่สก ผสมกัน เพราะปลาทั้งสองชนิดเมื่อนำมาทำกวนเชียงจะให้เนื้อที่เหนียวนุ่มเนียนสวย ที่สำคัญมีราคาถูกกว่าปลาชนิดอื่น โดยสั่งแล่มาเสร็จจากตลาด

    ที่ ขาดไม่ได้คือ ไส้ขมหมู ที่ใช้บรรจุเนื้อปลา โดยหาซื้อได้จากตลาดทั่วไป ซึ่งต้องนำมาขูด และล้างเอาเมือกออกให้สะอาด ล้างจนหมดกลิ่นคาวเสียก่อน จากนั้นก็นำมาดองเกลือ ปัจจุบันก็มีการดองขายสำเร็จ



    อุปกรณ์ที่ใช้ก็มี...
    เครื่อง ตีปลา, เครื่องบด, กรวยกรอกสเตนเลส, เครื่องหั่น มันหมู, เครื่องนวดผสม, ถาด, เครื่องอบลมร้อน, มีด, กะละมัง, เชือกฟาง, เขียง, กระทะ, ทัพพี และเครื่องใช้เบ็ดเตล็ดอื่นๆ

    ทั้งนี้ อุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการผลิตกวนเชียงปลา หรือกุนเชียงปลา ค่อนข้างมีราคาแพงมาก ทั้งเครื่องตีปลา, เครื่องบด และตู้อบ นุ่ม นักสู้ชีวิตอย่างชุมพลจึงสร้างประกอบขึ้นมาเอง โดยอาศัยความรู้ที่เคยเรียนมาเป็นพื้นฐาน และสอบถามจากผู้ที่มีความรู้ด้านช่าง ก็เป็นการลดต้นทุนอีกทางหนึ่ง

    ส่วนผสมกวนเชียงปลา ตามสูตรก็มี
  • (ใช้ปลานวลจันทร์ ปลายี่สกเทศ หรือปลากรายก็ได้) 20 กก.
  • มันหมูแข็ง 1 กก.
  • ซีอิ๊วขาวอย่างดี 2 ขวด
  • เกลือไอโอดีน 200 กรัม
  • น้ำตาลทราย 4 กก.
  • โซเดียมไบคาร์บอเนต 30 กรัม
  • เครื่องเทศ (เมล็ดผักชี, และพวกไม้หอม โป๊ยกั๊ก อบเชย ที่นำไปคั่วรวมกันจนหอมแล้วบดละเอียด เพื่อดับกลิ่นคาว) 30 กรัม
  • และรสดี 1 ซอง เพื่อเพิ่มรสชาติให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น

    ชุม พลบอกว่า ในส่วนของเครื่องปรุงนั้น สามารถปรับเพิ่มหรือลดได้ อาศัยการชิมรสชาติ ขึ้นอยู่กับความพอใจ สูตรไม่ตายตัว แต่ควรให้มีรสหวานนำเล็กน้อย

    ขั้นตอนการทำ “กวนเชียงปลา”
  • เริ่มจาก นำเนื้อปลามาเข้าเครื่องบดจนละเอียด 2 ครั้ง
  • หั่นมันหมูแข็งให้เป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก ๆ เอาส่วนผสมทั้งหมดมาใส่ลงในเครื่องนวดผสม คลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน นานประมาณ 30 นาที จนเนื้อปลาเหนียวเนียน
  • ระหว่างนวดต้องคอยเติมน้ำเย็นหรือน้ำผสมน้ำแข็งป่น ประมาณ 2 ถ้วยตวง จะช่วยให้เนื้อปลามีความเหนียวและเนียนเข้ากันง่ายขึ้น
  • พอได้แล้ว ก็นำไปกรอกใส่ไส้ ใช้อุปกรณ์ที่เป็นสเตนเลสรูปกรวย ส่วนปลายเป็นท่อนยาว ๆ สำหรับใส่ไส้มาติดเข้าไปแทนที่หัวบดที่ตัวเครื่องบด
  • เอาไส้ขมสอดเข้าไปในแท่งกรวยจนหมดไส้ ใช้เชือกมัดปลายไส้ แล้วเปิดเครื่องเอาเนื้อปลาที่ผสมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ใช้ทัพพีตัก ค่อย ๆ ใส่ลงไปในเครื่อง เนื้อปลาจะถูกดันออกมาตรงปลายกรวย และดันไส้ออกไปเรื่อย ๆ จนสุด
  • ใช้เชือกฟางมัดหัวมัดท้ายให้เป็นท่อน ๆ ยาวท่อนละ 6 นิ้ว จนหมด
  • จากนั้นนำไปแขวนในเครื่องอบลมร้อน ใช้อุณหภูมิประมาณ 60 องศาเซลเซียส อบนาน 8 ชั่วโมง แล้วนำมาผึ่งแดดให้แห้งสนิทอีก 2 วัน ก็นำมาบรรจุถุงแพ็กขายได้

    ชุมพลบอกว่า กวนเชียงปลาเมื่อผ่านการอบแห้งแล้ว น้ำหนักจะหายไปประมาณ 20-30% ตามสูตรหลังอบแห้งจะเหลือกวนเชียงปลาหนักประมาณ 15-20 กก. รสชาติกวนเชียงปลาจะอร่อยหวานเค็มมันไม่แพ้กุนเชียงต้นตำรับ

    และมีอายุการเก็บรักษาได้นานพอ ๆ กัน คือในอุณหภูมิปกติอยู่ได้นาน 7-10 วัน ถ้าเก็บไว้ในตู้เย็นสามารถเก็บได้นาน 2-3 เดือน

    โดยราคาขายกวนเชียงปลาก็อยู่ที่ กก.ละ 130 บาท


    ใคร สนใจผลิตภัณฑ์ กวนเชียงปลา หรือกุนเชียงปลา หรือปลาเชียง ของชุมพล จั่นจำรัส หรือต้องการสั่งไปจำหน่าย ก็ติดต่อกับหนุ่มนักสู้ชีวิตรายนี้ได้ที่ โทร. 0-6121-9738

    เชาวลี ชุมขำ รายงาน จเร รัตนราตรี ภาพ


  • credit www.sanook.com

    ป้ายกำกับ: , , ,

    Thai Go ฟาสต์ฟู้ด อาหารไทย...ในอเมริกา


    ตามนโยบาย "ครัวไทยสู่ครัวโลก" ในส่วนของการสร้างโอกาสในการขยายตลาดนั้น ในรูปของร้านอาหารไทยในต่างแดน ที่ภาคเอกชนดำเนินการอยู่ในขณะนี้ มีด้วยกัน 2 แนวทาง คือ นักธุรกิจในประเทศไทย สร้าง แบรนด์ และพัฒนาจนเป็นโมเดลธุรกิจร้านอาหารไทย ที่เข้มแข็ง และขายแฟรนไชส์ไปต่างประเทศ

    และ อีกแนวทางหนึ่งก็คือ ผู้ประกอบการร้านอาหารไทยที่อยู่ต่างแดน มีศักยภาพและเห็นโอกาส ในการที่รัฐบาลให้การส่งเสริมและสนับสนุน จึงใช้โอกาสนี้เพื่อการต่อยอดธุรกิจ โดยใช้พื้นฐานและศักยภาพของตัวเองที่ชำนาญพื้นที่ รู้จักตลาด รู้ช่องทางเป็นทุน ต่อยอดธุรกิจ

    "Thai Go" คือต้นแบบในแนวทางที่ 2 ที่ถูกพัฒนาและสร้างขึ้นโดยคนไทยที่เข้าไปตั้งหลักปักฐานที่อเมริกามานาน และมองเห็นลู่ทางในการทำธุรกิจร้านอาหารไทยในรูปแบบฟาสต์ฟู้ด

    ปัญญา ทิพยโสติถิ ประธานกรรมการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและแฟรนไชส์ บริษัท ไทยฟู้ด อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ กล่าวว่า ผมต้องการสร้าง "Thai Go" ให้เป็นฟาสต์ฟู้ดร้านอาหารไทย กระจายไปทั่วประเทศอเมริกา ซึ่งมองว่ามีโอกาสทางการตลาดสูงมาก ซึ่งปัจจุบันทางบริษัทได้มีการลงทุนทำมา 2-3 ปีแล้ว ปัจจุบันมีอยู่ 9 สาขา และสามารถทำรายได้และกำไรเป็นที่น่าพอใจ จึงอยากที่จะฉกฉวยโอกาสนี้ขยายสาขาในรูปแบบของแฟรนไชส์

    เพราะที่อเมริกา แฟรนไชส์ร้านอาหารไทยในรูปแบบฟาสต์ฟู้ดยังไม่มีใครทำ ถ้าเริ่มก่อน โอกาสก็มาถึงเราก่อน

    "ใน อเมริกา ร้านอาหารไทยส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบร้านมีที่นั่งตกแต่งในสไตล์ที่หรูหรา ซึ่งก็เป็นโอกาสที่ดีช่องทางหนึ่ง แต่ในรูปแบบของฟาสต์ฟู้ด ก็จะเป็นโอกาสที่ดีอีกช่องทางหนึ่งอีกเช่นกัน เพราะเราจะไปตั้งอยู่ในฟู้ดคอร์ตต่างๆ"

    ซึ่งรูปลักษณ์จะเป็น เคาน์เตอร์ มีพื้นที่สำหรับทำครัวอยู่ด้านหลัง รูปแบบคล้ายๆ กับฟู้ดคอร์ตในบ้านเรา จะต่างก็ตรงที่ร้านใกล้เคียงเป็นร้านที่ขายอาหารนานาชาติ อาทิ จีน อเมริกัน ฯลฯ เรียกได้ว่าค่อนข้างหลากหลาย โดยมี "Thai Go" เป็นหนึ่งในทางเลือก

    เรื่องของเมนูจะมีถึง 2 ทางเลือกไว้คอยบริการ คือ 1.อาหารจานด่วน ก็คือ ข้าวราดแกง ซึ่งจะมีอาหารให้เลือกประมาณ 8-9 อย่าง/วัน อาทิ แกงไก่ ผัดพริกขิง ไก่ทอดกระเทียมพริกไทย

    ผัดผักรวม ฯลฯ ราคาต่อจาน ถ้าเป็นกับข้าว 1 อย่าง 4.95 เหรียญ, 2 อย่าง 5.95 เหรียญ แต่ถ้า 3 อย่าง 6.50 เหรียญ

    ส่วนรูปแบบที่ 2. เมนูตามสั่ง ราคาจะแพงหน่อยประมาณ 6.50 เหรียญ และต้องรอประมาณ 5-10 นาที

    ซึ่ง การเปิดให้บริการแบบนี้ ปัญญาอธิบายให้ฟังว่า ปัจจุบันเทรนด์การบริโภคของคนอเมริกันเริ่มเปลี่ยน คือนอกจากจะนิยมอาหารเพื่อสุขภาพแล้ว ยังชอบที่จะรับประทานอาหารที่ปรุงสดๆ จากเดิมที่นิยมอาหารแช่แข็งเข้าไมโครเวฟ

    ซึ่งจากที่ทำมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา สำหรับอาหารไทยสไตล์ฟาสต์ฟู้ดมีการเติบโตที่ดี มียอดขายเฉลี่ยประมาณ 500,000-600,000 เหรียญ/ปี ถ้าอยู่ในโลเกชั่นที่ดีก็อาจทะลุ 800,000- 1,000,000 เหรียญ/ปี ตามยอดขายนี้หักต้นทุนทุกอย่างเหลือเป็นกำไรก่อนหักภาษีประมาณ 10-15%

    การ พัฒนาระบบฟาสต์ฟู้ดร้านอาหารไทยขึ้นมา เหมือนเป็นการเรียนลัดในด้านการลงทุนร้านอาหารไทย เพราะเรามีการย่อส่วนในการลงทุน ย่อส่วนในเรื่องของการบริหารจัดการ เรื่องบุคลากร เชฟ พนักงานเสิร์ฟ ฯลฯ ทุกส่วน

    ถ้าเราลงทุนร้านอาหาร ไทยในรูปแบบเป็นร้าน จะยากเพราะความใหญ่ความครบถ้วนก็จะแบบหนึ่ง แต่ถ้าเป็นฟาสต์ฟู้ดอาหารไทย โมเดลธุรกิจที่มีระบบการบริหารจัดการที่พร้อมแล้ว ความยากก็จะลดลง รวมถึงเม็ดเงินในการลงทุนด้วย

    ซึ่งสำหรับเงินลงทุนฟาสต์ฟู้ด "THAI GO" อยู่ที่ประมาณ 250,000 เหรียญ ! คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 10 ล้านบาท

    แยก เป็นค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ ดังนี้ ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ 30,000, ค่าออกแบบและใบอนุญาต 10,000, ค่าก่อสร้างปรับปรุงร้าน 100,000, ค่าวัสดุอุปกรณ์ในครัว 50,000, ค่าระบบคอมพิวเตอร์และเครื่องเก็บเงิน 15,000, ค่าสินค้าคงคลัง 5,000, ค่าฝึกอบรมและโฆษณาก่อนเปิด 15,000, ค่ามัดจำการเช่าร้าน 1 เดือน 15,000 และเงินสดสำรอง 15,000 รวมเป็นเงินที่ต้องใช้ในการเปิดร้าน 250,000 เหรียญสหรัฐ นอกจากนี้แฟรนไชซีต้องจ่ายรอยัลตี้ฟี 5% ของยอดขายทุกเดือน

    ปัญญา บอกว่า จากประสบการณ์ของทีมงานที่คลุกคลีอยู่ในธุรกิจร้านอาหารไทยในอเมริกามานาน เกือบ 20 ปี มองเห็นถึงโอกาสว่า อาหารไทยสามารถเติบโตได้อย่างดีในสหรัฐอเมริกา แต่ยอมรับว่า ทางบริษัทมีข้อจำกัดในเรื่องของเงินทุน จึงได้พัฒนาธุรกิจออกมาในรูปของแฟรนไชส์ เพื่อเปิดหาพันธมิตรที่มองเห็นโอกาสร่วมกัน

    "ซึ่งไม่ได้จำกัดแต่นักลงทุนไทย แต่เปิดกว้างรองรับนักลงทุนชาวเอเชีย ยุโรป อเมริกา ที่สนใจอยากลงทุนอาหารไทยด้วย"

    ปัญญาอธิบายต่อว่า และข้อดีสำหรับธุรกิจแฟรนไชส์นั้น ก็คือ การันตีความสำเร็จ !

    ที่ กล่าวเช่นนี้ เพราะการทำธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศสหรัฐ อเมริกานั้น ต่างกับเมืองไทย เมืองไทยกฎหมาย กฎ กติกา อาจจะยังไม่เข้มงวด แต่ที่อเมริกา ทุกอย่างต้องพร้อมตรวจสอบได้ การจะทำระบบแฟรนไชส์ได้ต้องขออนุญาตก่อน ได้ใบอนุญาตถึงจะดำเนินการได้ ซึ่งกว่า "THAI GO" จะได้ใบอนุญาตก็ต้องผ่านการตรวจสอบในทุกๆ ด้านมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องระบบการบริหารจัดการ ความเป็นไปได้ของธุรกิจ เรื่องของการเงิน การบัญชี บุคลากร ฯลฯ ซึ่งถ้าไม่เฟิร์ม ไม่มีทางผ่าน

    ฉะนั้นปัญหาที่จริงๆ เวลานี้ก็คือ ทุน !

    "ที่ ผ่านมา การทำธุรกิจร้านอาหารไทยร้านแรก ใช้เงินยืมจากพี่ เพื่อน ญาติ เงินลงทุนก้อนแรกประมาณ 50,000 เหรียญ จากร้านแรกก็ขยายร้านที่ 2 โดยใช้กำไรในการขยายธุรกิจ มีล้มลุกคลุกคลานบ้าง ใช้เงินหมุนจากบัตรเครดิตบ้าง เงินกู้จากสถาบันการเงินในอเมริกา แต่ก็ได้ไม่มาก....หลักใหญ่จึงเป็น เงินต่อเงิน และห้ามใช้เงินผิดประเภท เงินที่ขายอาหารได้ ต้องคิดอยู่เสมอว่า ไม่ใช่เงินของเราทั้งหมด

    พอ รัฐบาลไทยเปิดตัวพร้อมสนับสนุน ล่าสุด ก็เลยหันมากู้แบงก์ไทย ซึ่งล่าสุด เอสเอ็มอีแบงก์ได้อนุมัติให้กู้ประมาณ 14 ล้าน นั่นก็เพียงพอสำหรับการลงทุน ประมาณ 1 สาขา ขณะที่โอกาสในการขยายสาขายังมีมากกว่านี้

    เพราะฉะนั้นสำหรับนักลงทุน ที่สนใจ ลองศึกษารายละเอียดของธุรกิจนี้ "อย่าด่วนตัดสินใจ" ให้ศึกษารายละเอียดให้ดีก่อน และหากตัดสินใจแน่นอนแล้ว ตัดสินใจวันนี้ อีก 1 ปีหลังจากนั้น ถึงจะเห็นการลงทุนเป็นรูปเป็นร่างและเปิดขายได้ !

    "โดย ที่เรามั่นใจว่า THAI GO น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่สนใจธุรกิจอาหารได้เป็นอย่างดี" เจ้าของแฟรนไชส์ THAI GO กล่าวพร้อมกับบอกว่า แต่ทั้งนี้ต้องบอกว่า ธุรกิจอาหารไทยเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่มีเงินอย่างเดียวไม่พอ ที่สำคัญเจ้าของเงินต้องรักในธุรกิจนี้ด้วย เพราะเป็นธุรกิจบริการ ที่ต้องอาศัยความอดทน และความเข้าใจ ในการหมั่นดูแลเอาใจใส่ เพื่อให้ได้สินค้าอาหารที่ดี มีรสชาติคงเส้นคงวา และมีรสชาติอร่อย และสุดท้ายเป็นอาชีพที่เหนื่อยและหนักพอสมควร !

    credit www.sanook.com

    ป้ายกำกับ: , , ,

    วิชาความสำเร็จ


    Print E-mail
    Written by wiroj sattanadecha

    พวก เราเรียนหนังสือกันมานานหลายปีครับกว่าจะได้ปริญญาเพื่อเริ่มต้นประกอบอาชีพ เป็นหมอ เป็นวิศวกร นักบัญชี โปรแกรมเมอร์ หรืออาชีพอะไรก็ตามในสายงานที่เรียนมา ผมขอถามนะครับว่า "คุณคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง?" คนส่วนใหญ่จะตอบว่า ตัวเองยังไม่ประสบความสำเร็จ แล้วถ้าอยากสำเร็จต้องทำยังไง ที่นี้คำตอบแต่ละคนก็คงแตกต่างกันใช่ใหมครับ แต่ผมอยากจะบอกว่า ถ้าอยากประสบความสำเร็จต้องทำยังไง คำตอบมันง่ายนิดเดียวครับ ก็ไปเรียนรู้จากคนที่เขาประสบความสำเร็จแล้วว่าเขาทำยังไง เขา ก็จะบอกเองครับว่าเขาทำยังไงถึงประสบความสำเร็จ ยกตัวอย่างคุณตราวุทธิ์ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงทางด้าน eBusines จะมาเล่าให้ฟังถึงวิธีการทำงานให้ประสบความสำเร็จต้องทำอย่างไรบ้าง การเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนสำเร็จเป็นการเรียนลัดที่สุดแล้วครับ

    ป้ายกำกับ: , , , ,